สะพานแห่งกาลเวลา : สงครามนิวเคลียร์ โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

(ภาพ-PlanA/SGS/Youtube)

สะพานแห่งกาลเวลา : สงครามนิวเคลียร์ โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์

ระหว่างที่การรบนองเลือดกำลังเกิดขึ้นในยูเครน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั่วทั้งโลกดูเหมือนจะชะงักงัน แบบ “ตกตะลึงจังงัง” ไปชั่วขณะ เมื่อ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย สั่งการให้ยกระดับความพร้อมของกองกำลังนิวเคลียร์ของรัสเซียสูงขึ้นสู่ระดับ “เตรียมพร้อมต่อการทำสงครามพิเศษ” (special combat readiness)

ถึงวันที่ 2 มีนาคม เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ออกมาสำทับเป็นทำนองเตือนสติชาติตะวันตกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” หากเกิดขึ้น ต้องมีอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาเกี่ยวข้อง

และจะเป็นสงครามที่ “ทำลายล้างอย่างยิ่ง”

แม้ว่าทั้งหมดเหล่านั้นอาจเป็นเพียงแค่ “เหลี่ยมคู” ทางการทูต เพื่อกันกองทัพชาติตะวันตกไม่ให้ส่งกำลังเข้าไปช่วยเหลือยูเครนสู้รบตบมือกับพลานุภาพของกองทัพรัสเซีย

Advertisement

แต่ก็ทำให้ทุกคนทั่วโลกตระหนักขึ้นมาในฉับพลันนั้นว่า ในความเป็นจริงแล้ว โลกเราอยู่ห่างจากสงครามนิวเคลียร์ทำลายล้างอยู่แค่เอื้อมเพียงใด

แม้แต่ในนาทีนี้ สงครามมหันตภัยที่ว่านี้ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะจิต เพียงอาศัยคนบ้าคลั่งที่กุมอำนาจอยู่ในมือไม่กี่คนเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

เมื่อปี 2019 ทีมนักวิจัยจากโครงการ วิทยาศาสตร์และความมั่นคงของโลก (Science and Global Security-SGS) ของมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ในสหรัฐอเมริกา เคยทำแบบจำลองเพื่อประเมินผลลัพธ์จากการเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นไว้

Advertisement

แบบจำลองที่ว่านี้มีชื่อเรียกว่า “แพลน เอ” (PLAN A) ทำขึ้นเพื่อทำนายว่า สงครามนิวเคลียร์เริ่มต้นอย่างไร อาวุธนิวเคลียร์ติดตั้งอยู่ที่ไหนและยิงสู่เป้าหมายใด และคร่าชีวิตผู้คนไปมากมายแค่ไหนตั้งแต่ต้นจนกระทั่งการระดมยิงเข้าใส่กันยุติ

ผลที่ได้ชวนสลดหดหู่อย่างยิ่งหากมีสงครามนิวเคลียร์นี้ขึ้นจริงๆ

แบบจำลองที่ว่านี้ เริ่มต้นด้วยการยิงนิวเคลียร์ “เตือน” เพียงลูกเดียวจากรัสเซียพุ่งเป้าไปยังที่ตั้งทางทหารของสหรัฐอเมริกา หรือนาโต

นิวเคลียร์ลูกเดียวนั้น จะเป็นเสมือน “โดมิโน” ตัวแรกที่จะก่อให้เกิดการตอบโต้ซึ่งกันและกันต่อเนื่องเป็นชุด ผู้คนจะเสียชีวิตกันเป็นเบือ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผ่าน
ขั้นตอนตอบโต้ต่างๆ

ระยะแรก เราจะได้เห็นรัสเซียพยายามทำลายฐานทัพนาโตทั่วทั้งยุโรป โดยใช้ขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ราว 300 ลูก ส่วนนาโตก็จะตอบโต้ด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ราว 180 ลูกของตนเอง

แบบจำลองแสดงให้เห็นว่า ผู้คน 2.6 ล้านคนจะเสียชีวิตลงภายใน 3 ชั่วโมงแรกของสงคราม

ระยะที่สอง เรียกกันว่า “เคาน์เตอร์ฟอร์ซ แพลน” หรือการตอบโต้ด้วยการทำลายกองกำลังฝ่ายตรงกันข้าม คือ สหรัฐอเมริกา ถูกบีบให้ยิงขีปนาวุธเข้าทำลายเป้าหมายทางทหารของรัสเซียไม่น้อยกว่า 600 ลูกหลังจากได้เห็นกองกำลังของยุโรปถูกทำลาย

600 ลูกที่ว่านี้ยิงเข้าใส่เป้าหมายได้ต่อเนื่องภายใน 45 นาที จะมีคนตายเพิ่มขึ้นอีก 3.4 ล้านคน

ระยะที่ 3 “เคาน์เตอร์แวลู แพลน” หรือการโจมตีเป้าหมายทรงคุณค่า เกิดขึ้นตามมาเมื่อเกิดความสูญเสียอย่างหนักต่อกองกำลังของทั้งสองฝ่าย เป้าหมาย
ในการโจมตีจะเปลี่ยนเป็นเป้าหมายเพื่อทำลายแหล่งทรัพยากรของแต่ละประเทศ

แบบจำลองแสดงให้เห็นว่า เมืองใหญ่ๆ ของคู่สงครามที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ ราว 5-10 ลูกต่อเมือง

ภายในเวลา 45 นาทีของระยะที่ 3 นี้ สงครามนิวเคลียร์จะก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตมหาศาลที่สุด และเกือบทั้งหมดเป็นพลเรือน

แบบจำลองพบว่า จะมีผู้เสียชีวิตไปมากถึง 85.3 ล้านคนในชั่ว 45 นาทีนั้น

สรุปแล้วภายในระยะเวลาเพียง 5-6 ชั่วโมงของสงคราม ระเบิดนิวเคลียร์จะคร่าชีวิตคนไปมากถึง 91.5 ล้านคน!

ที่สำคัญก็คือ แม้ถึงตอนนั้นแบบจำลองยังพบว่า จะยังคงมีหัวรบนิวเคลียร์หลงเหลืออยู่ให้ใช้ยิงเข้าใส่กันและกัน เพื่อขยายหายนะให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น จำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นอีกนับไม่ถ้วน

ทั้งหมดนั้นเป็นการจำลองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศคู่สงคราม ไม่ได้ฉายให้เห็นภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับประเทศอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือออกไป ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับสงครามครั้งนี้

และไม่ได้ข้องแวะไปถึงการเสียชีวิตจากการสัมผัสกัมมันตภาพรังสีในภายหลัง รวมถึงการทำลายล้างสภาวะแวดล้อมอย่างมหันต์ จากสงครามครั้งนี้

เพียงแค่นี้ ทุกคนก็คงได้แต่ภาวนากันแล้วว่า ขออย่าให้เกิดขึ้นจริงๆ เลย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image