เอกชนเชียร์ ลดภาษีดีเซล 3 บาท ช่วยคนได้ระยะยาว พร้อมหนุนปรับสูตรเหลือ บี3

เอกชนเชียร์ ลดภาษีดีเซล 3 บาท ชี้คนเข้าใจผิด ลด 5 บาทไม่ได้ลงที่ราคาโดยตรง พร้อมหนุนปรับสูตรเป็น บี3 หลังราคาปาล์มพุ่งสูง ห่วงคนตกงานพุ่ง

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์กรนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) กล่าวว่า สำหรับการลดอัตรา ภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลนั้น ทั้งการลดในอัตรา 3 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน และการลดในอัตรา 5 บาท โดยที่ระยะเวลาน้อยกว่า 3 เดือนนั้นมีค่าเท่ากัน โดยเห็นด้วยว่า ควรเป็นแนวทางการลดภาษีน้ำมันในอัตรา 3 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน เพราะว่าจะได้สอดคล้องกับมาตรการเดิม ส่วนกรณีการลดภาษีในอัตรา 5 บาทนั้น ก็ไม่ได้มีผลให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงไปจากเดิม เพราะเงินที่เพิ่มมาในอัตรา 2 บาทต่อลิตร จะถูกกันไว้ให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีผลให้กองทุนฯมีสถานะติดลบน้อยลงในระยะสั้น

“การเพิ่มมาตราการลดภาษีดีเซล เป็นการลดในอัตรา 5 บาทต่อลิตรนั้น คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าจะช่วยเข้าไปลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลโดยตรง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะที่ไป 5 บาทนั้น แบ่งเป็นส่วนที่ลดราคาน้ำมัน 3 บาทต่อลิตร ส่วนอีก 2 บาท รัฐบาลก็จะเอาเข้าไปโปะในลิ้นชักเงินของกองทุนน้ำมันฯให้ติดลบน้อยลง โดยที่เป็นคนละเรื่องกับที่รัฐบาลปรับเพดานราคาน้ำมันดีเซลอีก 5 บาท หรือกลายเป็นไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร ดังนั้น 2 บาทที่เพิ่มมาไม่มีผลต่อเรื่องราคาทันที เพราะมันไปผ่านกองทุนฯ แล้วกองทุนฯจึงค่อยๆ ควักมาชดเชยราคาน้ำมันดีเซลทีหลัง” นายธนิตกล่าว

นายธนิตกล่าวว่า ดังนั้น ถ้าถามความคิดเห็นส่วนตัวก็ยังคงสนับสนุนการลดภาษีในอัตรา 3 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน เพราะนอกจากจะสอดคล้องกับมาตรการเดิมแล้ว ยังให้ระยะเวลาช่วยเหลือที่นานกว่า การลดในอัตรา 5 บาทต่อลิตร แต่ถ้ารัฐบาลให้การลดภาษีน้ำมันในอัตรา 5 บาท ใช้ลดราคาน้ำมันดีเซลทั้งหมด แบบนี้ก็จะเห็นด้วยกับแนวทางที่สอง คือ การลดภาษีน้ำมันในอัตรา 5 บาทต่อลิตร

นายธนิตกล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลก็สูญเสียรายได้ไปกับมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล 3 บาทต่อลิตร ระหว่างวันที่ 18 กุมภาพันธ์-20 พฤษภาคม 2565 หรือเป็นเวลา 3 เดือน กว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ถือว่ารายได้หดหายไปเยอะพอสมควร ขณะเดียวกัน หลังจากการปรับเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลใหม่ เป็นสูงสุดไม่เกิน 35 บาทต่อลิตรนั้น และเพิ่มเป็นขั้นบันไดทุกสัปดาห์ รัฐบาลได้มอบหมายหน้าที่ให้กองทุนน้ำมันฯช่วยอุดหนุนเงินจำนวนครึ่งหนึ่งของราคาส่วนต่างที่ปรับขึ้น โดยตั้งแต่ 1 พฤษภาคม ได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเป็น 32 บาทต่อลิตร ซึ่งส่วนที่ปรับขึ้น 2 บาท กองทุนฯก็ช่วยอุดหนุน 1 บาท และเชื่อว่าในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ราคาน้ำมันดีเซลก็จะอยู่ที่ 35 บาทต่อลิตร ตามมติของคณะรัฐมนตรี (ครม.)

Advertisement

นายธนิตกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยกับมาตรการที่จะลดการใช้น้ำมันปาล์มเป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซลลง จากสูตร บี5 ลดลงเป็นสูตร บี3 เนื่องจากปัจจุบันราคาปาล์มน้ำมันก็สูงมาก ผลมาจากการที่หลายประเทศหันมาใช้น้ำมันปาล์ม หรือ บี100 เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันดิบที่ราคาพุ่งขึ้นสูง ซึ่งเมื่อปาล์มเป็นที่ต้องการ และหลายประเทศที่ปลูกปาล์มได้ก็งดการส่งออก เพื่อกักตุนปาล์มไว้เพื่อผลิตเชื้อเพลิง ทำให้ราคาปาล์มเพิ่มขึ้นตาม โดยการปรับลดสูตรน้ำมันดีเซลเหลือเป็นสูตร บี3 จะช่วยให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงอีก 0.5 บาทต่อลิตร

นายธนิตกล่าวว่า ด้านมาตรการช่วยเหลืออื่น ที่รัฐบาลออกมา 10 มาตรการบรรเทาปัญหาด้านพลังงานจากราคาน้ำมันแพง ก็เป็นมาตรการที่เห็นด้วยว่าช่วยเหลือประชาชนได้ และเลือกช่วยได้ตรงกลุ่ม อาทิ การคงอัตราขายปลีก ก๊าซเอ็นจีวี ในราคา 15.59 บาทต่อกิโลกรัม และมาตรการลดอัตราค่าใช้ไฟฟ้า (เอฟที) ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน

นายธนิตกล่าวว่า ส่วนมาตรการช่วยลดภาระค่าครองชีพ อย่างโครงการคนละครึ่ง ที่เอกชนได้เสนอไว้ ก็เห็นด้วยว่าควรมีเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และคิดว่ารัฐบาลเองโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็คงจะรับข้อเสนอให้ทำโครงการคนละครึ่งต่อ เพราะขณะนี้การทำนโยบายต่างๆ ก็มุ่งไปที่ผลทางการเมือง รวมถึงเป็นช่วงใกล้ครบวาระงานแล้ว ก็คงต้องการหาเสียงจากทุกฝ่ายเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะได้อยู่ในตำแหน่งต่อ

Advertisement

อย่างไรก็ดี ในด้านของประชาชนสภาวะปัจจุบันก็ไม่มีเงิน บางคนไม่มีรายได้เพราะตกงาน และเดินทางกลับภูมิลำเนา ซึ่งตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา ข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ระบุว่ามีคนกลุ่มดังกล่าวกว่า 1.7 ล้านคน และส่วนใหญ่ก็กลับต่างจังหวัดแบบถาวร ซึ่งสอดคล้องกับข่าวที่สมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารขนส่ง ที่ให้ข้อมูลว่ามีผู้คนเดินทางข้ามจังหวัดน้อยลงอย่างมาก

“รัฐบาลนั้นหลอกตัวเองว่าปัจจุบันประชาชนยังมีเงิน ทั้งๆ ที่ความจริงส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเงิน และมีปัญหาตกงาน โดยนิยามของการมีงาน ที่ว่าการรับจ้างทำความสะอาด ทำสวน เล็กๆ น้อยๆ เพียงสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง ก็ถือว่าเป็นคนมีงานทำ หรือเรียกว่าคนเสมือนว่างงาน ซึ่งรัฐบาลมองข้ามคนกลุ่มนี้ไป และเหมารวมว่าเป็นคนมีงาน มีรายได้เลี้ยงชีพแล้ว ทำให้ตัวเลขคนตกงานดูน้อยลง” นายธนิตกล่าว

นายธนิตกล่าวว่า ขณะที่ข้อมูลด้านประกันสังคม ยังพบว่ามีแรงงานที่หลุดหายไปจากระบบประกันสังคมจำนวนกว่า 4 แสนคน ที่ยังไม่สามารถกลับเข้ามาในระบบได้ และข้อมูลการรับคนเข้าทำงานใหม่ที่เข้าระบบประกันสังคม ตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนมีนาคม 2565 พบว่ามีเพิ่มขึ้นเพียง 1 แสนคนเท่านั้น เฉลี่ยเดือนละ 3 หมื่นคนถือน้อยมาก และข้อมูลดังกล่าวก็ยังไม่รวมเด็กนักศึกษาจบใหม่ ที่จะเข้าสู่การทำงานในปีนี้ด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image