จากการถือกำเนิดขึ้นเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์งานฉลองรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2477 กับเวที “นางสาวสยาม” ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนว่าใครคือผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศ จวบจนทุกวันนี้ “นางงาม” ก็ยังไม่ได้เสื่อมความนิยมไป แต่มีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยอย่างน่าสนใจ
แต่จะให้เข้าใจพัฒนาการของเหล่านางงามเป็นอย่างดีนั้น หนุ่ม-ประเสริฐ เจิมจุติธรรม ผู้คร่ำหวอดในวงการนางงามมากว่า 30 ปี อธิบายไว้ว่าต้องเข้าใจว่านางงามแต่ละยุคไม่เหมือนกัน
ประเสริฐเล่าว่า ในยุคแรก ช่วงปี พ.ศ.2477-2497 หรือช่วง “ประกวดช่วยชาติ” ถือเป็นช่วงที่เพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครอง กระทรวงมหาดไทยจึงจัดประกวดเลือกสาวงามตัวแทนจังหวัดต่างๆ มาประกวดนางงาม เพื่อเผยแพร่รัฐธรรมนูญ นางงามสมัยนี้จึงเป็นผู้หญิงไทยแท้ สมกุลสตรี
ก่อนจะเข้าสู่ยุคที่ 2 ที่เป็น “ยุคประชาสัมพันธ์ประเทศ” ในช่วงปี พ.ศ.2507-2515 เป็นยุคแรกที่นางสาวไทยต้องไปประกวดนางงามจักรวาลอย่างเป็นทางการ สาวไทยต้องสวย ไทยแท้ ได้ภาษา จนได้ อาภัสรา หงสกุล นักเรียนจากปีนังไปประกวด กลายเป็นนางงามจักรวาลคนแรกของไทย ทำให้ช่วงนั้นทุกคนจะได้เห็นอาภัสราขึ้นหน้าปกนิตยสาร แสดงตัวตามที่ต่างๆ ได้รับความนิยมจวบจนทุกวันนี้ อาภัสราก็ยังคงเป็นดาวค้างฟ้า ที่เป็นแรงบันดาลใจของสาวงามรุ่นใหม่หลายคน
ในยุคที่ 3 หรือที่ประเสริฐเรียกว่า “ช่วงการพาณิชย์” ระหว่างปี พ.ศ.2527-2543 ถือเป็นช่วงที่การประกวดมีสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุนมาก รวมทั้งถ่ายทอดตามสถานีต่างๆ การประกวดไปอยู่กับเอกชนมากขึ้น มีจุดประสงค์เพื่อส่งไปตามเวทีต่างๆ ที่หลากหลาย อาทิ มิสเวิลด์ มีการแบ่งเป็นรอบต่างๆ ทั้งเป็นช่วงที่นางงามสายอินเตอร์มีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สาวิณี ปะการะนัง ธิดาโดมแอลเอ บินตรงมาประกวด
และยังเป็นยุคที่ไทยมี “มิสยูนิเวิร์ส” คนที่ 2 เมื่อ ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก เดินทางจากต่างประเทศมาประกวด ทำให้ยุคนี้เทรนด์นางงามอิมพอร์ต นางงามลูกครึ่ง อยู่ในกระแส นอกจากนี้ นางงามหลายคนยังมีมงกุฎเป็นใบเบิกทางให้เหล่าสาวงามเหล่านี้เข้าสู่วงการบันเทิงมากมาย อาทิ ป๊อป-อารียา สิริโสภา, นก-ชลิดา เถาว์ชาลี, เอ้-ชุติมา นัยนา, เฮเลน-ปทุมรัตน์ วรมาลี, ซินดี้-สิรินยา บิชอพ, ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม และ กบ-ปภัสรา เตชะไพบูลย์
สำหรับยุคสุดท้าย คือตั้งแต่ปี พ.ศ.2543-ปัจจุบัน ประเสริฐเรียกว่าเป็นยุคที่การประกวดแตกย่อยไปหลายเวทีมากขึ้น เพื่อส่งไปประกวดเวทีต่างชาติที่มีเป้าหมายแตกต่างกันไป เช่น มิสเวิลด์คือนางงามเพื่อการกุศล เวทีมิสยูนิเวิร์ส คือนางงามที่ต้องการเติบโตไปสายบันเทิง ดารานางแบบ มิสเอิร์ธเป็นนางงามอนุรักษ์ธรรมชาติ ขณะที่ไทยเองก็มีเวทีต่างๆ มากขึ้น อย่างเวทีมิสแกรนด์ หรือจะเป็นมิสทีนไทยแลนด์ เวทีสาววัยใสที่ได้รับความนิยมมาแล้วสิบกว่าปี มิสทิฟฟานี่ ยูนิเวิร์ส เวทีสาวข้ามเพศที่ได้รับความนิยมระดับโลก รวมถึงเวทีไทยซุปเปอร์โมเดล เฟ้นหานางแบบประดับวงการ
ยุคนี้เวทีนางงามก็ยังสร้างสรรค์สาวงามหลายคนขึ้นมาประดับวงการ อาทิ เชียร์-ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์, เกรซ-กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า, ปอย-ตรีชฎา เพชรรัตน์, หมอเจี๊ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์, นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์, บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี, เอมมี่-มรกต กิตติสาระ, ชาม-ไอยวริญท์ โอสถานนท์, ปุ๊กลุก-ฝนทิพย์ วัชรตระกูล, แนท-อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ และ เมญ่า-นนธวรรณ ฌรรวนธร ทั้งยังมีโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์นางงามต่างๆ ขึ้นมารวบรวมกลุ่มของแฟนนางงาม จึงกลายเป็นยุคที่แฟนนางงามมีส่วนร่วมได้อย่างทันที
ด้าน แจ๊ส-ประณม ถาวรเวช รองประธานกองประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ที่อยู่ในแวดวงนางงามมาเกือบ 30 ปี เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของผู้เข้าประกวดในกองจากมุมคนในว่า นางงามสมัยก่อนและปัจจุบันแตกต่างกันมาก เมื่อก่อนนางงามจะมีอยู่ไม่กี่ค่าย เช่น ป้าศรีเวียง ป้าชุลี คุณสมชาย ทำให้รู้ว่าแต่ละคนเทรนกันมาอย่างไร แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว เด็กบางคนไม่จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยง คาแร็กเตอร์หลากหลาย และมีความมั่นใจมากขึ้น ไม่มีความแตกต่างระหว่างนักเรียนนอกและเด็กไทย
ประณมยังเผยอีกว่า ข้อดีของการไม่แบ่งค่ายคือเด็กในกองสนิทสนมกัน เป็นเพื่อนช่วยเหลือกันและกัน ไม่แก่งแย่ง
“สไตล์นางงามตอนนี้ก็เปลี่ยนไป จากเดินช้าๆ นวยนาด สมัยนี้นางงามจะเดินฉับไว ท่าโพสเปลี่ยน ไม่แค่เอามือไขว้หลังอีกแล้ว แม้แต่เรื่องศัลยกรรมก็เปิดกว้างมากขึ้นจากที่ต้องเกิดมาสวย สรีระดี ทำศัลยกรรมไม่ได้ ก็เปิดกว้างเปิดรับทุกอย่าง และนางงามยุคโซเชียลต้องมีแรงต้านทานจากโซเชียลมีเดียมาก เพราะทุกอย่างเร็วและไปไกลมาก”
เป็นก้าวย่างของนางงามตลอด 40 ปี