ทัพนักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ หมดโปรแกรมแข่งขันของปี 2017 หลังลงสนามอุ่นเครื่อง 2 นัดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งท้ายผลงานคุมทีมในปีนี้ของ “โค้ชมิโล่” มิโลวาน ราเยวัช เฮดโค้ชที่เข้ามารับหน้าที่ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยได้เซ็นสัญญากับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ 1 ปี
สำหรับผลงานของราเยวัชตั้งแต่คุมทีมชาติไทย ดังนี้ วันที่ 6 มิถุนายน อุ่นเครื่อง แพ้ อุซเบกิสถาน 0-2 (เยือน), วันที่ 13 มิถุนายน คัดฟุตบอลโลก เสมอ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1-1 (เหย้า), วันที่ 14 กรกฎาคม คิงส์คัพ ชนะ เกาหลีเหนือ 3-0, วันที่ 16 กรกฎาคม คิงส์คัพ เสมอ เบลารุส 0-0 (ชนะจุดโทษ 5-4 คว้าแชมป์), วันที่ 31 สิงหาคม คัดฟุตบอลโลก แพ้ อิรัก 1-2(เหย้า), วันที่ 5 กันายน คัดฟุตบอลโลก แพ้ ออสเตรเลีย 1-2 (เยือน), วันที่ 5 ตุลาคม อุ่นเครื่อง ชนะ พม่า 3-1(เยือน), วันที่ 8 ตุลาคม อุ่นเครื่อง ชนะ เคนยา 1-0 (เหย้า)
“โค้ชเฮง” นายวิทยา เลาหกุล ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เปิดเผยว่า สำหรับผลงานของราเยวัช สิ่งที่ตอบสนองความต้องการได้คือ การเล่นเกมรับ และการเอาบอลมาอยู่กับตัวให้มากขึ้น ซึ่งราเยวัชสามารถแก้ไขได้น่าพอใจ แต่มีส่วนที่ต้องพัฒนาต่อไปคือ เกมโต้กลับแล้วได้จบสกอร์ และการเล่นให้เป็นจังหวะ โดยฝ่ายเทคนิคก็จะนำไปเสนอกับราเยวัชต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อสัญญา ราเยวัช ครบกำหนดในปีหน้าแล้ว สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ สมควรต่อสัญญากับราเยวัชต่อหรือไม่ โค้ชเฮง ตอบว่า ในส่วนของตัวเองเป็นฝ่ายเทคนิค ถือว่าไม่มีปัญหา และเห็นด้วยถ้าสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะต่อสัญญา แต่เนื้อหาสัญญาต้องอยู่ที่ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และราเยวัชจะตกลงกัน
“โค้ชที่เราจ้างมาจะต้องเป็นฝ่ายสร้างนักเตะให้พัฒนาขึ้น โดยบรรดาโค้ชที่เราจ้างมาแล้ว ผมเห็นว่ามีราเยวัชนี่แหละที่ทำผลงานเข้าตา และตอบโจทย์มากที่สุด แต่ก็ต้องรอดูผลงานที่ชัดเจนต่อไป” โค้ชเฮงกล่าว
โค้ชเฮง กล่าวอีกว่า ด้าน โซรัน ยานโควิช กุนซือที่ประเดิมคุมทีมชาติไทยชุด 23 ปีอุ่นเครื่อง แพ้ จอร์แดน 0-1 นั้น รูปเกมไม่น่าพอใจนัก ต้องมาหารือกันว่าจะแก้ไขอย่างไร หากยังไม่ดีขึ้นอาจต้องพิจารณาโค้ชทีมชาติไทย ในเรื่องการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นไม่เกิน 23 ปี ที่ประเทศจีน ในช่วงต้นปีหน้าอีกครั้ง