รายงานพิเศษ : จัดทัพ”ทบ.”กลางปี ตอบโจทย์บริหาร”คสช.”?

หลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายทหารช่วงกลางปี 2559 เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป หากจับสัญญาณการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารช่วงกลางปีของกองทัพบก (ทบ.) ครั้งนี้จะพบว่าการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารกลางปีไม่ได้มีการขยับตำแหน่งหลักอย่าง 5 เสือ ทบ.

ก่อนหน้านี้มีการวิเคราะห์และคาดการณ์กันว่าจะมีการผลักดัน “บิ๊กเข้” พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ เตรียมทหาร (ตท.) รุ่น 18 ที่นั่งเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 ให้ขยับขึ้นไปเป็น “พล.อ.” ในตำแหน่ง “ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก” เข้าไลน์ 5 เสือ ทบ. เพื่อรอลุ้นชิงเก้าอี้ “ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)” ในโผโยกย้ายนายทหารช่วงเดือนกันยายนนี้ แต่ปรากฏว่าไม่ได้มีการขยับ “บิ๊กเข้” พล.ท.เทพพงศ์ ขึ้นไปครองยศ “พล.อ.” เพื่อรอชิงตำแหน่ง ผบ.ทบ.แต่อย่างใด อันเป็นไปตามที่พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ออกมายืนยันก่อนหน้านี้ว่า “ผมยืนยันว่าการจัดทำโผนายทหารกลางปี จะไม่ปรับย้ายตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. ซึ่งจะไปย้ายได้อย่างไร เพราะทำไม่ได้ อีกทั้งยืนยันว่าคำสั่งดังกล่าวจะไม่ประกาศเกินปลายเดือนมีนาคม และจะไม่มีอะไรเป็นที่เซอร์ไพรส์ เพราะเป็นไปตามการปรับย้ายนายทหาร

วงรอบปกติ”

เพราะฉะนั้นเมื่อวิเคราะห์ตามการแต่งตั้งนายทหารช่วงกลางปีที่ออกมาข้างต้นนั้น นัยยะหนึ่งย่อมสะท้อนได้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นเซอร์ไพรส์ และเป็นไปตามวงรอบการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2559 แต่สิ่งที่น่าจับตาในโผครั้งนี้กลับกลายเป็นว่า “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ได้ขยับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองทัพบก โดยเฉพาะตำแหน่ง “ผู้บัญชาการกองพล” ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจและน่าติดตาม

Advertisement

เริ่มที่ปรับย้าย “บิ๊กปาน” พล.ท.จีระพันธุ์ มาลีแก้ว เสนาธิการทหารบก และผู้อำนวยการศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป (ศปป.) ไปเป็นรองหัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสธ.ประจำผู้บังคับบัญชา รวมทั้งปรับย้าย พล.ท.สุทัศน์ จารุมณี รองเสนาธิการทหารบก ไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก พร้อมทั้งย้าย “บิ๊กต้อม” พล.ท.พลภัทร วรรณภักตร์ เจ้ากรมยุทธศึกษากองทัพบก (จก.ยศ.ทบ.) ไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบกในตำแหน่ง “พล.ท.” เท่าเดิม ซึ่งนายทหารทั้ง 3 นายพลข้างต้นล้วนเป็นนายทหารที่ใกล้ชิดกับ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และอดีต ผบ.ทบ. ที่มีบทบาทในการดำเนินการจัดสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์

นอกจากนี้ “บิ๊กหมู” ยังได้ขยับ “บิ๊กณัฐ” พล.ต.ณัฐ อินทรเจริญ (ตท.20) รองแม่ทัพภาคที่ 1 นายทหารคนสนิทของ พล.อ.ประวิตร ขึ้นไปเป็นรองเสนาธิการทหารบก พร้อมทั้งย้าย “บิ๊กหิน” พล.ต.ศรีศักดิ์ พูนประสิทธิ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) เข้ากรุไปเป็นรองแม่ทัพน้อยที่ 1 ในยศ “พล.ต.” เท่าเดิม และดัน “บิ๊กติ่ง” พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ขึ้นไลน์ไปเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.2 รอ.) พร้อมกับขยับ “เสธ.หนุ่ม” พ.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) ที่มีความใกล้ชิดกับ พล.อ.ประวิตร ไปเป็น ผบ.มทบ.11 เพื่อเปิดทางให้ “เสธ.อู๋” พ.อ.วุฒิชัย นาควานิช รอง ผบ.พล.ร.9 ขึ้นเป็น ผบ.พล.ร.9 ในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารช่วงเดือนกันยายนนี้

กระนั้นอาจวิเคราะห์ได้ว่าการปรับย้ายนายทหารดังกล่าวเข้ากรุนั้น อาจไม่พ้นถูกมองว่านายทหารเหล่านั้นล้วนมีความสัมพันธ์อันดีและใกล้ชิดกับอดีต ผบ.ทบ.คนก่อน อย่าง “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ยิ่งไปกว่านั้นอาจเป็นการบ่งบอกสถานะความสัมพันธ์ระหว่าง “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัยกับ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดชอีกด้วย

Advertisement

แต่ก็มองได้เหมือนกันว่า เป็นเรื่องธรรมดาของการจัดทัพ ที่ผู้บังคับบัญชาต้องมีมือไม้ที่ไว้วางใจได้

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อตำแหน่ง 5 เสือ ทบ.ไม่ขยับ เท่ากับกลายเป็นว่าในอนาคตตำแหน่ง “ผู้บัญชาการทหารบก” คนที่ 40 อาจเหลือแคนดิเดตการชิงเก้าอี้ “ผบ.ทบ.” ระหว่างนายทหาร “เหล่ารบพิเศษ” อย่าง “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสารท (ตท.) ผช.ผบ.ทบ. ที่ถูกมองว่าได้รับแรงหนุนจากอดีตบิ๊กทหารรบพิเศษ กับ “บิ๊กแกละ” พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร (ตท.17) เสนาธิการทหารบก (เสธ.ทบ.) ที่ถูกมองว่าเป็นนายทหารที่ใกล้ชิดกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร สายสัมพันธ์ของ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัยนั้น โตมาจากทหารสายหมวกแดงแห่ง “หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ” และมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับ “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีต ผบ.ทบ.

ขณะที่ “บิ๊กแกละ” พล.อ.พิสิทธิ์ที่มาจาก “เหล่าราบ” และโตมาในสายลูกผสมระหว่าง “บูรพาพยัคฆ์” กับ “วงศ์เทวัญ” พร้อมทั้งเป็นนายทหารที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างยิ่งกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร

ต้องไม่ลืมว่าเก้าอี้ “ผบ.ทบ.” ตั้งแต่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร ส่งต่อไปยัง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ตามมาด้วย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ และ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช จนมาถึงยุคปัจจุบันของ “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย

ตำแหน่ง “ผบ.ทบ.” ล้วนถูกนายทหารสาย “บูรพาพยัคฆ์” พร้อมด้วยทหารเสือราชินีครอบครองมาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี ฉะนั้นโอกาสและความน่าจะเป็นที่นายทหารในสายบูรพาพยัคฆ์ครองตำแหน่งผู้นำในกองทัพบกต่อนั้น ในที่นี้หมายความว่า “บิ๊กแกละ” พล.อ.พิสิทธิ์ก็มีแนวโน้มที่จะบริหารงานในกองทัพบก เพื่อให้นายทหารสายตะวันออก ที่มีบทบาทการนำทั้งการทหารและการเมืองในขณะนี้ย่อมมีโอกาสสูงกว่าใคร

แต่ในสภาพความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่ที่เหตุและปัจจัย รวมทั้งสถานการณ์ในอนาคต กอปรกับการตัดสินใจของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร กับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ทั้งสิ้นว่าจะตัดสินใจเลือกผู้ใดขึ้นมาคุมกำลังในกองทัพ ในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจและรัฐบาล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image