เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)

บริษัทในเครือ

ติดตาม

หน้าแรก บล็อก

อัจฉราพร วอนอย่าเพิ่งหมดศรัทธา ยันนำบทเรียนไปปรับแก้ให้ดีขึ้น

อัจฉราพร วอนอย่าเพิ่งหมดศรัทธา ยันนำบทเรียนไปปรับแก้ให้ดีขึ้น

หลังจากที่ทีมวอเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย พลาดท่าพ่ายต่อ เวียดนาม 2-3 เซต 25-17, 26-24, 17-25, 22-25 และ 14-16 ทำได้เพียงรองแชมป์การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ซี วี.ลีก 2025 สนามที่ 2 ที่เมืองนินห์บิ๋ญ ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ขณะที่เวียดนามสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์รายการนี้สมัยแรกได้สำเร็จนั้น

“โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร เฮดโค้ชทีมลูกยางสาวไทย เปิดเผยว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณนักกีฬาและสต๊าฟโค้ชทุกคนที่พยายามทุ่มเทอย่างเต็มที่สำหรับเกมนี้ เราก็ทราบกันดีว่าเป็นเกมที่หนักและเล่นในบ้านของเวียดนามด้วย ซึ่งเขาก็พยายามที่จะสู้กับเราอย่างเต็มที่ ใช้คีย์เพลย์เยอร์หลักของเขาสู้กับเรา (หมายเลข 10 เหวียน ถิ บิช เตวียน) จริงๆ แล้วนักกีฬาเราก็รู้กันอยู่ ทุกคนก็พยายามเต็มที่

“ผมก็ชื่นชมนักกีฬาทุกคนที่พยายามทำหน้าที่ของพวกเราอย่างดีที่สุด ก็เสียดายที่เราไม่สามารถจะคว้าชัยชนะได้ แต่ในครั้งนี้เราก็คงจะต้องไปศึกษากันให้รอบคอบในการเตรียมที่จะเล่นรายการชิงแชมป์โลก และซีเกมส์ต่อไป ซึ่งในเกมการแข่งขันครั้งนี้เราก็ได้เห็นนักกีฬาของเราหลายคนได้แสดงศักยภาพที่ดี การเล่นก็เป็นไปตามแผนของเราที่ดี แต่ว่ามันก็ยังไม่สามารถที่จะเอาชนะคู่แข่งได้” โค้ชอ๊อตกล่าว

ขณะที่ ​”เพียว” อัจฉราพร คงยศ กัปตันทีมสาวไทย กล่าวว่า ภาพรวมของทีมทำให้เราได้เห็นข้อผิดพลาดที่เราไม่สามารถทำไซด์เอาต์ของเขาได้ ทำให้เวียดนามเขารันแต้มได้ในช่วงจังหวะที่แต้มกำลังสูสี ซึ่งเขารันแต้มได้ แต่เราไม่สามารถเบรกได้ กลายเป็นว่าโมเมนตั้มไปอยู่ที่ฝั่งเวียดนาม ทำให้เราแพ้ไปในเซตที่ 3, 4 และ 5 ด้วย อย่างไรก็ตาม เราก็มีช่วงจังหวะที่สมูท แต่ในช่วงจังหวะติดขัดเราไม่สามารถเปลี่ยนได้ไว เราต้องรีบกลับไปแก้ไขจุดนี้ให้เร็วที่สุด

“ตรงนี้มันเป็นปัญหามาตั้งแต่การแข่งขันเนชั่นส์ลีก 2025 แล้ว แล้วก็มายันรายการนี้ที่เป็นปัญหาหลักของทีมเราในตอนนี้ เราต้องกลับไปปรับแก้ในจุดนี้ค่ะ เหมือนที่ทุกคนทราบค่ะผลแพ้ชนะมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สำหรับหนูนะค่ะไม่มีใครอยากแพ้ อยากชนะ ทีมเราเองก็อยากชนะ แต่ในการแพ้ครั้งนี้มันทำให้ทีมเราได้บทเรียน ให้ทีมเราต้องกลับไปดูข้อผิดพลาดของตัวเอง กลับไปสู้ กลับไปฝึกซ้อมในจุดที่ผิดพลาด เก็บในสิ่งที่ดี วันนี้มันค่อนข้างชัดเจน”

กัปตันเพียวกล่าวอีกว่า แต่ก็ต้องขอชมทีมเวียดนามที่พวกเขาทำได้ค่อนข้างดี เขามีตัวจบสกอร์ที่ค่อนข้างเด็ดขาด แทบจะเป็นคนเดียวที่ทำแต้มได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเก็บเหตุการณ์ของวันนี้ไปปรับปรุง และก็ทำทีมเราให้ดีขึ้น เพื่อที่จะเอาไปต่อสู้ในแมตช์ชิงแชมป์โลกที่จะถึงนี้ ก็อย่าเพิ่งหมดศรัทธาในทีมวอลเลย์บอล ทุกคนอยู่กับพวกเรามานานมาก

“ทุกคนอยู่กับเราต้องแต่เริ่มสตาร์ตกันแรกๆ จนทุกวันนี้มีแพ้มีชนะ มีผิดหวัง มีสมหวัง มีเสียใจ มีดีใจ เพราะฉะนั้นลูกลมๆ มันเกิดขึ้นได้จริงๆ มันจะลงซ้าย หรือขวา มันสามารถลงได้หมดเลย เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งหมดกำลังใจ อย่าเพิ่งผิดหวัง อย่าเพิ่งหมดศรัทธาค่ะ มาช่วยเชียร์ ช่วยสู้ และยังอยู่เคียงข้างเราเป็นกำลังใจให้พวกเราต่อไปค่ะทั้งทีมนักกีฬาและทีมโค้ช หนูเชื่อว่าบทเรียนในวันนี้มันจะทำให้เราดีขึ้นในวันข้างหน้าแน่นอน ขอบคุณค่ะ” อัจฉราพรกล่าวปิดท้าย

สำหรับรายการต่อไป ทีมนักตบสาวไทย จะเตรียมตัวลุยศึกวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก ปี 2568 ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม-7 กันยายน 2568 โดยจะมีทีมตัวแทนจากประเทศต่างๆ ทุกทวีปทั่วโลก มาร่วมการแข่งขัน 32 ทีม แบ่งการแข่งขันออกเป็น 8 สาย สายละ 4 ทีม กระจายจัดการแข่งขันรอบแรก ไปยังเมืองหลัก 4 ภาคคือ ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.นครราชสีมา, ภาคใต้ จ.ภูเก็ต และกรุงเทพฯ ส่วนรอบ 16 ทีม รอบก่อนรองชนะเลิศ รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ จัดที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก กรุงเทพฯ ถ่ายทอดสดทาง พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36

ฟิต!!

ฟิต!!
พรยศ กลั่นกรอง

เมื่อเร็วๆ นี้ พี่เต๊ะ พรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลุยจัดกิจกรรม “Ozone Run : วิ่งฟิน อินแฟร์” ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ กรุงเทพฯ

กิจกรรมประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะมีนักวิ่งเข้าร่วมถึง 1,350 คน ร่วมสร้างจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม

ในงานยังมี ทั่นณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วย ทั่นเอกนิติ รมยานนท์ ทั่นวีรพงษ์ เอี่ยมเจริญชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ทั่นณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ทั่นใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ทั่นอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ทั่นวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และผู้บริหารอีกจำนวนมากเข้าร่วม

แบ่งระยะวิ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ Fun Run ระยะทาง 5 กม.และมินิมาราธอน ระยะทาง 10 กม.

สังเกตจากภาพบรรยากาศ อธิบดีพี่เต๊ะฟิตมากๆ เปิดงานเสร็จร่วมวิ่งกับทั่นปลัดและผู้บริหารท่านอื่นๆ ด้วย

ฟอร์มวิ่งดีขนาดนี้สงสัยปีหน้าจัด 10 กม.แน่ๆ อิอิ

โพลชี้ความขัดแย้งไทย-เขมร-ฮุน เซน ก่อความวุ่นวายเพื่อประโยชน์ตนเอง

โพลชี้ คนไทยมองสาเหตุความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา เกิดจากนโยบายปราบ“แก๊งคอลเซ็นเตอร์” เชื่อ “ฮุน เซน” ก่อความวุ่นวายเพื่อผลประโยชน์ตนเอง ขณะที่ ความขัดแย้งของสองตระกูล 58% ชี้เป็นเพียงวาทะกรรม

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมาได้ทำการสำรวจประชาชนทั่วทุกภูมิภาค จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 1,500 คน โดยได้สอบถามถึงเรื่อง “ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา รวมถึงความขัดแย้งของสองตระกูล”

โดยจากการสอบถามถึง “สาเหตุหลักของความขัดแย้งคืออะไร” ผู้ให้สำรวจมองว่า เกิดจากนโยบายปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของไทย 37.5% ข้อพิพาทเขตแดนทางประวัติศาสตร์ 22.4% การแทรกแซงของมหาอำนาจ (สหรัฐ/จีน) 21.8% ความขัดแย้งทางการเมืองภายในกัมพูชา 10.7% และ ความขัดแย้งระหว่างตระกูลผู้นำไทย-กัมพูชา 7.6%

เมื่อถามว่า “การที่สมเด็จฮุน เซน ก่อความขัดแย้งกับไทยเพื่ออะไร” ทางผู้ให้สำรวจมีมุมมองว่า กระทำเพื่อผลประโยชน์ตนเอง 45.6% ใช้ความขัดแย้งสร้างความนิยมในกัมพูชา 33.5% เพื่อแทรกแซงกิจการไทย 19.3% เป็นนักยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาด 0.1% อื่นๆ 1.5%

สำหรับ “มาตรการใดในการยุติความขัดแย้ง” ผู้ให้สำรวจ “เห็นด้วย” กับการเจรจาทวิภาคีผ่านกลไกอาเซียน 32.9% หยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข 26.4% ยื่นเรื่องต่อศาลโลกหรือ UN 24.1% ใช้กำลังทางทหารจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมจำนน 16.5% และไม่มีความเห็น 1.1%

นอกจากนั้นสถาบันฯ ได้สำรวจถึง ความเชื่อในทฤษฎี “ความขัดแย้งของสองตระกูล ชินวัตร-ฮุนเซน” มีมากน้อยเพียงใด ซึ่งเสียงส่วนใหญ่มองว่า ไม่เชื่อ ซึ่งเป็นเพียงวาทะกรรมทางการเมือง 58.1% เชื่อบางส่วน เพราะอาจเป็นปัจจัยเสริม 20.4% เชื่ออย่างยิ่ง เพราะมีหลักฐานชัดเจน 11.4% และไม่ทราบข้อมูล 10.1%

 

รพ.จุฬาภรณ์ แนะคนเกิดก่อนปี 2535 ตรวจคัดกรอง-ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันมะเร็งตับ

รพ.จุฬาภรณ์ แนะคนเกิดก่อนปี 2535 ตรวจคัดกรอง-ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันมะเร็งตับ

เมื่อเร็วๆนี้ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ได้จัดกิจกรรม กิจกรรม Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้….ลดมะเร็งตับ และบริการวิชาการสุขภาพและบริการทางการแพทย์เนื่องในวันตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) ประจำปี 2568 เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเจริญพระชันษา 68 ปี 

นพ.ดำรงค์ สุกิจปัญญาโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์  กล่าวว่า กิจกรรมบริการวิชาการสุขภาพและบริการทางการแพทย์เนื่องในวันตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) ประจำปี 2568 จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระกุศลแด่ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชันษา 68 ปี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ทั้งนี้ โรคไวรัสตับอักเสบ ซึ่งยังคงเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตมากกว่า 1 ล้านคนต่อปีทั่วโลก  สำหรับประเทศไทย คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 2–3 ล้านคน และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง  ประมาณ 350,000 ราย ทั่วประเทศ

นพ.ดำรงค์ กล่าวต่อว่า โรคไวรัสตับอักเสบมิได้เพียงเป็นโรคติดเชื้อธรรมดา แต่เป็นสะพานนำไปสู่มะเร็งตับ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ในฐานะสถาบันการแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและรักษาอย่างจริงจัง ตามพระปณิธานขององค์ประธานผู้ทรงจัดตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้ เพื่อการช่วยเหลือและบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย

“ข่าวดีในปัจจุบัน คือเราสามารถชนะโรคนี้ได้ เนื่องจากวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี มีประสิทธิภาพสูงถึง 95% ในการป้องกันการติดเชื้อ ส่วนไวรัสตับอักเสบซี สามารถรักษาให้หายขาดได้ถึง 99% ด้วยยาสมัยใหม่ที่ใช้เวลาเพียง 8-12 สัปดาห์ นี่คือความหวังที่เราจับต้องได้ การบรรลุเป้าหมายในการกำจัดไวรัสตับอักเสบให้ได้ในปี พ.ศ. 2573 ตามเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกและประเทศสมาชิก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย จึงไม่ไกลเกินเอื้อม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จึงได้จัดโครงการขึ้น เพราะการป้องกันที่แท้จริงเริ่มต้นจากความรู้และการลงมือทำ เราเชื่อมั่นว่า หากทุกคนได้รับการตรวจคัดกรองและป้องกันอย่างเหมาะสม เราจะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งตับได้อย่างมีนัยสำคัญ”

พญ.อัญญา เกียรติวีระศักดิ์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ กล่าวว่า ไวรัสตับบี คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เป็น DNA virus ที่มีความแข็งแรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน เป็นเชื้อทำให้ก่อโรคตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่สำคัญของตับ หากเกิดภาวะตับอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ในระยะยาว โดยไวรัสตับบีประมาณ 90% ติดจากแม่สู่ลูกตอนคลอด แต่ก็สามารถมาติดตอนโตได้ โดยการติดเชื้อผ่านเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ โดยการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เช่น ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกัน การรับเลือด หรือการปลูกถ่ายอวัยวะ

ดังนั้น สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อหรือถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกัน จึงขอแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี  หากเราเป็นพาหะของโรคนี้ ก็ควรหลีกเลี่ยงการบริจาคเลือด ดังนั้น คนไทยทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่เกิดก่อนปี 2535 เพราะก่อนหน้านั้นยังไม่มีการฉีดวัคซีนไวรัสตับบีในเด็กแรกเกิดอย่างทั่วถึง และยังไม่มีวัคซีนในวัยเด็ก โดยเฉพาะกลุ่ม คนดังต่อไปนี้ คนในครอบครัวเป็นพาหะไวรัสตับบี กลุ่มคู่สมรสหรือคู่นอนของผู้ติดเชื้อ กลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV หรือไวรัสตับซี หญิงตั้งครรภ์ควรตรวจทุกคน ในช่วงฝากครรภ์ เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก กลุ่มที่อาชีพเสี่ยงสัมผัสเลือด อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ ผู้ดูแลผู้ป่วย และคนที่เคยได้รับเลือด หรือทำหัตถการ เช่น สัก เจาะ ในที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น

ด้าน นพ.สพล วิวัฒน์พัฒนกุล แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ กล่าวเสริมว่า กรณีตรวจพบว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ผู้ป่วยจะได้รับยาต้านไวรัสเฉพาะผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้เท่านั้น โดยแบ่งผู้ป่วยเป็นสามกลุ่ม

กลุ่มแรก ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีฉับพลัน ส่วนใหญ่กลุ่มนี้ภูมิคุ้มกันร่างกายมักต่อสู้เชื้อโรคมีโอกาสที่หายเองได้มากกว่ากลุ่มเรื้อรัง เกณฑ์การให้ยาในผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงจะให้เมื่อมีอาการรุนแรงมาก โดยประเมินจากอาการร่วมกับผลเลือด
กลุ่มสอง ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
กลุ่มสาม กลุ่มผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ข้อบ่งชี้พิเศษ สำหรับการติดเชื้อไวรัสจะหายขาดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเป็น “ไวรัสระยะเฉียบพลัน”  พบในผู้ที่เพิ่งติดเชื้อใหม่ 80–90% ของผู้ติดเชื้อสามารถหายได้เอง หลังหายแล้วร่างกายจะมีภูมิคุ้มกัน “การติดเชื้อแบบเรื้อรัง” เป็นระยะที่พบเยอะที่สุด ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน

อย่างไรก็สามารถควบคุมโรคได้ ด้วยการกินยาต้านไวรัสเมื่อมีข้อบ่งชี้  ส่วนการติดเชื้อไวรัสไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งตับทุกคน แต่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป 100 เท่า ดังนั้นต้องมีการคัดกรองมะเร็งตับ คือ การตรวจหามะเร็งตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ด้วยวิธีมาตรฐาน คือการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบนเพื่อดูตับทุก 6 เดือน บางครั้งอาจจะทำการตรวจเลือดดูสารบ่งชี้มะเร็งตับ หรือ ค่า AFP ร่วมด้วย

นพ.กฤต หมัดแสละ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว กล่าวเสริมเกี่ยวกับวัคซีนว่า กรณีฉีดวัคซีนไม่ครบ หรือฉีดนานแล้ว ขอแนะนำให้ฉีดเข็มที่เหลือให้ครบ ไม่ต้องเริ่มใหม่ ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 10 ปีแล้ว ภูมิอาจลดลงแต่ยังมีความจำภูมิ ไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำ เว้นแต่ว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง และไม่แน่ใจว่าเคยฉีดหรือไม่ ทั้งนี้ ขอแนะนำตรวจเลือด HBsAg + Anti-HBs ก่อนวางแผนฉีดวัคซีน

นพ.กฤต  กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ A  ซึ่งโรคนี้ติดจากการดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส หากเราจะป้องกันตับอักเสบจากเชื้อไวรัส A ซึ่งอาจรุนแรงในคนที่มีโรคตับอยู่เดิม ขอแนะนำให้ฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน ส่วนวัคซีนไวรัสตับอักเสบ B สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนที่ทำให้ตับอักเสบรุนแรงขึ้นตรวจภูมิก่อน ถ้าไม่มีภูมิ แนะนำฉีด 3 เข็ม วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ตับแย่ลง แนะนำฉีดปีละ 1 ครั้ง  วัคซีนไข้เลือดออก ที่มีสาเหตุมาจากยุงลาย หากติดเชื้อมีความเสี่ยงทำให้ตับวายได้ ขอแนะนำฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 เดือน วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ ลดความเสี่ยงปอดติดเชื้อรุนแรง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยตับเรื้อรัง ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนมีแนวทางการฉีดหลายรูปแบบ จึงแนะนำว่าควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ วัคซีนโควิด-19 ผู้ป่วยตับเรื้อรังอาจมีอาการรุนแรงจากโควิด-19 ควรฉีดตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข และวัคซีนงูสวัด ป้องกันการเกิดงูสวัดรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ที่อายุมากหรือภูมิคุ้มกันต่ำ สำหรับอายุ 50 ปี หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ขอบคุณ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ 

ก๊าซชีวภาพ: พลังงานสะอาดที่ยืดหยุ่น และเติมเต็มจุดอ่อนของระบบ

การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานสะอาดในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นเพียงภารกิจด้านสิ่งแวดล้อมอีกต่อไปหากแต่กลายเป็นภารกิจระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของประเทศ สำหรับประเทศไทย เป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ.2580 และการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ.2050 (พ.ศ.2593) นั้น เป็นโจทย์ที่ท้าทายและต้องการพลังงานหมุนเวียนหลากหลายรูปแบบมาร่วมกันขับเคลื่อน โดยไม่อาจพึ่งพาเพียงพลังงานจากแสงอาทิตย์และลมได้แต่เพียงอย่างเดียว

แม้พลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์และลมจะมีต้นทุนลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และสามารถขยายการติดตั้งได้รวดเร็ว แต่กลับเป็นพลังงานที่มีความผันผวนสูง อ่อนไหวต่อสภาพอากาศ และไม่สามารถผลิตพลังงานได้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้งานเสมอ จึงถูกจัดอยู่ในกลุ่ม พลังงานหมุนเวียนที่ไม่สามารถควบคุมการผลิตได้ หรือ Variable Renewable Energy (VRE) ความท้าทายที่สำคัญของระบบไฟฟ้าคือการจัดการกับความไม่แน่นอนของ VRE เหล่านี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบในทุกช่วงเวลา และนั่นทำให้การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนประเภทที่สามารถควบคุมการผลิตได้ หรือ Dispatchable Renewable Energy เข้ามาเสริมระบบ ถือเป็นทางออกที่ไม่อาจมองข้าม

หนึ่งในพลังงานที่มีคุณสมบัติเด่นด้านความยืดหยุ่น และสอดคล้องกับบริบททรัพยากรของไทยอย่างชัดเจนคือ “ก๊าซชีวภาพ” ด้วยกระบวนการผลิตจากการย่อยสลายอินทรียวัตถุโดยจุลินทรีย์ในสภาวะไร้อากาศ ทำให้ได้ก๊าซมีเทน (CH4) เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งเป็นก๊าซเชื้อเพลิงชนิดเดียวกับก๊าซธรรมชาติ หากได้รับการปรับปรุงคุณภาพ เช่น การกำจัดไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ที่เป็นสารกัดกร่อนออกไป ก็สามารถนำมาใช้ทดแทนก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่มีต้นทุนสูงและประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าในสัดส่วนสูงได้โดยตรง

ก๊าซชีวภาพมีความโดดเด่นตรงที่สามารถกักเก็บไว้ในช่วงที่ไม่ได้ใช้งาน และนำออกมาใช้เมื่อมีความต้องการพลังงานในระบบสูง อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้หลากหลายทั้งในภาคผลิตไฟฟ้า ภาคความร้อน และภาคขนส่ง นอกจากนี้ยังสามารถแปรรูปให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ เช่น การอัดเป็นก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) สำหรับใช้ในยานยนต์ หรือการแปรสภาพเป็นไบโอมีเทนเหลว (LBM) สำหรับขนส่งระยะไกลและเก็บสำรองในปริมาณมาก

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการส่งเสริมการใช้ก๊าซชีวภาพในหลายระดับ ตั้งแต่ระบบในครัวเรือน ฟาร์มสุกรขนาดเล็ก จนถึงโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ เช่น โรงงานผลิตปาล์มน้ำมัน โรงงานแป้งมันสำปะหลัง โรงงานเอทานอล โรงงานยางพารา และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารต่างๆ โดยเฉพาะหลังปี พ.ศ.2550 เป็นต้นมา ภาครัฐได้มีการสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพผ่านนโยบาย Feed-in Tariff ซึ่งเปิดโอกาสให้โรงงานสามารถนำก๊าซชีวภาพส่วนเกินที่เหลือจากกระบวนการผลิตมาแปลงเป็นไฟฟ้าเพื่อขายคืนเข้าสู่ระบบ

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการพัฒนาโครงการนำร่องเพื่อแสดงศักยภาพของก๊าซชีวภาพในรูปแบบอื่น เช่น การผลิตCBG เพื่อทดแทน NGV ในรถขนส่ง และการพัฒนา LBM เพื่อรองรับการใช้งานในพื้นที่ห่างไกลระบบท่อก๊าซฯปัจจุบันมีโรงงานหลายแห่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เริ่มนำก๊าซชีวภาพเข้าสู่ระบบในเชิงพาณิชย์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีในระดับท้องถิ่น

ข้อมูลจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ระบุว่าประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการผลิตก๊าซชีวภาพเหลืออยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะจากน้ำเสียในอุตสาหกรรมและฟาร์มปศุสัตว์ คิดเป็นพลังงานรวมมากกว่า 1,300 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ktoe) อีกทั้งยังสามารถเพิ่มศักยภาพได้จากการปลูกพืชพลังงานอย่างหญ้าเนเปียร์ในพื้นที่กว่า 2.9 ล้านไร่ ซึ่งอาจผลิตพลังงานความร้อนได้สูงถึง 4,600 ktoe หากมีการบริหารจัดการที่เหมาะสม ศักยภาพเหล่านี้ไม่เพียงลดการนำเข้าพลังงานฟอสซิล แต่ยังสามารถเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและหมุนเวียนเศรษฐกิจในท้องถิ่นได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาก๊าซชีวภาพไม่ควรจำกัดบทบาทอยู่เพียงการผลิตพลังงานทดแทนเพียงอย่างเดียว แต่ควรถูกยกระดับเป็นกลไกสนับสนุนระบบพลังงานสะอาดทั้งระบบ โดยเฉพาะในการเติมเต็มข้อจำกัดของพลังงานหมุนเวียนแบบ VRE ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ก๊าซชีวภาพในฐานะพลังงานที่กักเก็บได้ และสามารถจ่ายโหลดในเวลาที่ระบบต้องการ จึงเป็นส่วนเสริมที่ทำให้ VRE สามารถเข้าสู่ระบบไฟฟ้าได้มากขึ้น โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพของโครงข่าย รวมถึงการนำก๊าซชีวภาพไปผลิตพลังงานรูปแบบอื่นที่มีทางเลือกจำกัด โดยมีมูลค่าผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์สูงสุด

ทั้งนี้ รายงานของ Goldman Sachs (2024) ชี้ให้เห็นว่า ต้นทุนในการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0-200 ดอลลาร์สหรัฐต่อการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 1 ตัน ในขณะที่เทคโนโลยีลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมและขนส่ง อาจมีต้นทุนสูงถึง 800 ดอลลาร์ต่อตัน หากประเทศไทยมีการบังคับใช้กลไกภาษีคาร์บอนในอนาคต การใช้ก๊าซชีวภาพในภาคอุตสาหกรรมและขนส่งจึงเป็นโอกาสสำคัญในการลดต้นทุนภาษีในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในภาคอุตสาหกรรม มีความต้องการสูงในการเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมหลายแห่งยังไม่สามารถใช้ชีวมวลได้เนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่และความสอดคล้องกับกระบวนการผลิต ในขณะที่การเปลี่ยนไปใช้ไฮโดรเจนยังมีต้นทุนสูงและเทคโนโลยีไม่มีความพร้อม การนำ CBG มาใช้ทดแทนจึงเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับข้อจำกัดทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์อย่างแท้จริง

สำหรับภาคขนส่ง โดยเฉพาะในกลุ่มรถบรรทุกขนาดใหญ่หรือรถโดยสารสาธารณะ การใช้ยานยนต์ไฟฟ้ายังมีข้อจำกัดด้านระยะทางและภาระของน้ำหนักแบตเตอรี่ ก๊าซชีวภาพจึงเป็นทางเลือกเชื้อเพลิงที่สามารถใช้งานได้ทันที และมีความยืดหยุ่นสูงในการปรับใช้กับระบบเดิม

ที่สำคัญคือ ก๊าซชีวภาพส่วนใหญ่สามารถกักเก็บไว้ในบ่อหมักได้หลายวัน ทำให้สามารถทำหน้าที่เป็นระบบกักเก็บพลังงานโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติมในเทคโนโลยีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในระบบไฟฟ้าที่มีสัดส่วน VRE สูง และต้องการสำรองพลังงานมากกว่า 4 ชั่วโมง การพึ่งพาแบตเตอรี่ลิเทียมจะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก๊าซชีวภาพซึ่งกักเก็บได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว จึงสามารถตอบโจทย์นี้ได้อย่างประหยัดและยั่งยืน

ก๊าซชีวภาพจึงไม่ได้เป็นเพียงพลังงานหมุนเวียนทางเลือก แต่เป็นกลไกสำคัญที่สามารถขับเคลื่อนระบบพลังงานของประเทศให้ก้าวข้ามข้อจำกัดของ VRE ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในแง่ความมั่นคง ระบบกักเก็บ และการเข้าถึงในระดับชุมชน หากมีการออกแบบนโยบายที่เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำ พร้อมกับมาตรการสนับสนุนทางการเงินและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ก๊าซชีวภาพจะไม่เพียงแต่ช่วยลดคาร์บอน แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ให้กับเศรษฐกิจฐานราก ลดความเหลื่อมล้ำ

และเสริมความยืดหยุ่นให้กับระบบพลังงานแห่งอนาคตได้อย่างแท้จริง!!

ผ่อนปรนโดรนเกษตรวันแรก แห่จองคิวพ่นยาคึกคัก เจ้าของโดรนเผย ครึ่งวันทำเงินได้กว่า 3 พัน 

ผ่อนปรนโดรนเกษตรวันแรก แห่จองคิวพ่นยาคึกคัก เจ้าของโดรนเผย ครึ่งวันแรกทำเงินได้ 3 พัน 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พื้นที่ จ.ชัยนาท บรรดาเจ้าของโดรนเกษตรต่างรีบออกพื้นที่เพื่อบินฉีดยาข้าวของลูกค้าที่จองคิวเข้ามาอย่างคึกคัก หลังจากที่ทางราชการได้มีมาตรการผ่อนปรนห้ามบินโดรนเพื่อความมั่นคง จากเดิมถึงวันที่ 15 ส.ค. เลื่อนเข้ามาอนุญาตให้ขึ้นบินได้ตั้งแต่วันนี้ 11 ส.ค. โดยมีข้อบังคับคืออนุญาตให้บินได้ในเวลากลางวันเท่านั้นคือตั้งแต่ 06.00-18.00 น.

โดย นายศุจกิต ศึกษากิจ เจ้าของโดรนเกษตรในพื้นที่ ต.หาดอาษา อ.สรรพยา เปิดเผยว่า ตนรู้สึกดีใจอย่างมากพอทราบว่ามีมาตรการผ่อนปรน ให้โดรนขึ้นบินได้ตั้งแต่วันนี้ แม้ว่าจะบินได้เฉพาะกลางวัน ก็ยังดีที่ได้กลับมาบิน เพราะ 12 วันที่ผ่านมา ไม่สามารถขึ้นบินได้ขาดรายได้ไปหลายหมื่นบาท เมื่อกลับมาบินได้ก็มีรายได้เข้ามา เฉพาะครึ่งวันของการผ่อนปรนวันแรก ก็มีชาวนาจองคิวฉีดยาข้าวดข้ามาแล้วถึง 3 รายรวมประมาณกว่า 60 ไร่ โดยตนคิดค่าบริการไร่ละ 50 บาท ซึ่งรวมครึ่งวันก็จะมีรายได้ประมาณ 3,000 บาท ยังไม่รวมช่วงบ่ายที่น่าจะมีคิวจองเข้ามาอีก 1-2 ราย จึงฝากขอบคุณทางราชการที่เข้าใจนักบินโดรนเกษตรผ่อนปรนให้ได้ขึ้นบินหาเงินเลี้ยงครอบครัวอีกครั้ง

ด้าน นายวีระศักดิ์ ท้วมจู เจ้าของนาเปิดเผยว่า ปัจจุบันชาวนานิยมจ้างโดรนฉีดยาข้าวมากกว่าคนเดินฉีด เพราะสามารถทำงานได้รวดเร็ว สม่ำเสมอ และโดรนมีแรงดันลมจากใบพัดช่วยให้ละอองลงต่ำเคลือบไปถึงโคนต้นข้าว ทำให้มีประสิทธิภาพมากกว่าใช้คนเดินฉีดที่ละอองยาจะปลิวไปตามลมมากกว่าลงต้นข้าว

 

เนทันยาฮู เร่งยึด ‘กาซา ซิตี้’ ทำลายที่มั่นฮามาส ย้ำเป็นหนทางดีสุดเพื่อจบสงคราม

REUTERS

เนทันยาฮู เร่งยึด ‘กาซา ซิตี้’ ทำลายที่มั่นฮามาส ย้ำเป็นหนทางดีสุดเพื่อจบสงคราม

สำนักข่าวรอยเตอร์และบีบีซีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ได้กล่าว เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ว่าแผนการรุกเข้าควบคุมกาซา ซิตี้จะเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว และเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก “ปิดงาน” เอาชนะกลุ่มฮามาสและปล่อยตัวประกันอิสราเอลที่ยังเหลืออยู่ในฉนวนกาซาให้ได้

กองทัพอิสราเอลได้โจมตีทางอากาศใส่กาซา ซิตี้ในฉนวนกาซาอย่างหนัก นับตั้งแต่ที่คณะรัฐมนตรีความมั่นคงของอิสราเอลได้อนุมัติแผนของเนทันยาฮูที่จะเข้าควบคุมกาซา ซิตี้ แม้ว่าแผนดังกล่าวจะถูกนานาชาติประณามอย่างหนักก็ตาม

เนทันยาฮูกล่าวว่าปฏิบัติการในฉนวนกาซารอบใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อทำลายฐานที่มั่นของฮามาสที่ยังเหลืออยู่ 2 แห่งในกาซา ซิตี้ กับพื้นที่รอบๆ อัล-มาวาซี และนี่เป็นตัวเลือกเดียวที่มีอยู่ในมือเพราะฮามาสไม่ยอมวางอาวุธ เพราะฮามาสตั้งเงื่อนไขว่าจะยอมวางอาวุธหากมีการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ได้สำเร็จ เนทันยาฮูกล่าวว่านี่คือหนทางที่ดีที่สุดที่จะยุติสงคราม พร้อมกับยังได้พูดคุยกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐเกี่ยวกับแผนยึดครองฐานที่มั่นของฮามาสในฉนวนกาซาด้วยเช่นกัน

แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าปฏิบัติการของอิสราเอลในกาซา ซิตี้จะเริ่มต้นเมื่อใด แต่เนทันยาฮูกล่าวว่าไทม์ไลน์ที่อิสราเอลกำหนดไว้นั้นค่อนข้างรวดเร็ว ประการแรก อิสราเอลต้องการตั้งโซนปลอดภัยให้พลเรือนในกาซา ซิตี้ย้ายไปอยู่ในพื้นที่นั้น แต่ชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่บอกว่าการตั้งโซนปลอดภัยไม่ได้ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากการถูกอิสราเอลโจมตี อย่างไรก็ตาม เนทันยาฮูเน้นย้ำว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่การยึดครองฉนวนกาซา แต่เป็นการตั้งพื้นที่ปลอดภัยที่ติดกับพรมแดนอิสราเอล

เนทันยาฮูปฏิเสธว่าอิสราเอลไม่ได้ทำให้ชาวกาซาอดอยาก แต่เป็นตัวประกันอิสราเอลต่างหากที่ถูกเจตนาทำให้อดอยาก พร้อมทั้งพูดถึงแผน 3 ขั้นตอนเพื่อเพิ่มการส่งความช่วยเหลือในฉนวนกาซา อาทิ การตั้งระเบียงความปลอดภัยเพื่อแจกจ่ายความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและให้มีการส่งความช่วยเหลือทางอากาศมากขึ้น เพิ่มจุดแจกจ่ายความช่วยเหลือของมูลนิธิมนุษยธรรมเพื่อกาซา (GHF) โดยอ้างว่ากลุ่มฮามาสเป็นฝ่ายยิงในพื้นที่แจกความช่วยเหลือของ GHF จนทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมาก

ด้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) มีการจัดประชุมฉุกเฉิน ซึ่งบรรดาเอกอัครราชทูตประจำยูเอ็นต่างวิจารณ์แผนการเข้าควบคุมเมืองกาซา ซิตี้ของอิสราเอล เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อังกฤษ กรีซ และสโลวีเนียได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่า การขยายปฏิบัติการทางทหารจะยิ่งทำอันตรายต่อชีวิตพลเรือนในฉนวนกาซา รวมถึงตัวประกันที่ยังเหลืออยู่ ยิ่งสร้างความทุกข์ทรมาณโดยไม่จำเป็น เป็นวิกฤตที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง ต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อหยุดความอดอยากในฉนวนกาซาและส่งความช่วยเหลือเข้าไปอย่างเร่งด่วน

ผู้แทนของสหรัฐอเมริกาพยายามปกป้องอิสราเอลในการประชุม UNSC ว่าสหรัฐทำงานอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อยเพื่อปล่อยตัวประกันและยุติสงคราม การประชุมดังกล่าวทำลายความพยายามเหล่านั้น สงครามสามารถยุติได้วันนี้หากฮามาสยอมปล่อยตัวประกัน

พีค-พีพี-มีน-สิงโต เล่าความยากและท้าทายในเรื่อง แสนรัก ละครน้ำดีที่สะท้อนประเด็นครอบครัว  

พีค-พีพี-มีน-สิงโต เล่าความยากและท้าทายในเรื่อง ‘แสนรัก’ ละครน้ำดีที่สะท้อนประเด็นครอบครัว 

เป็นละครน้ำดีที่เหมาะกับการนั่งดูพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก สำหรับละคร แสนรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลวันแม่แห่งชาติ ซึ่งจะพาผู้ชมไปสัมผัสเรื่องราวความรักของแม่ที่มีต่อลูก โดยออกอากศทุกวันจันทร์ – อังคาร เวลา 20.30 น. ทางช่อง 3 ที่สำคัญละครเรื่องนี้ยังสะท้อนถึงประเด็นครอบครัว ความรัก และการให้อภัย ที่แฟน ๆ ยก ขึ้นแท่นละครครอบครัวไปเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งยังรวมตัวนักแสดงทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ ที่จะมาฟาดกันแบบไม่ยั้ง ไม่ว่าจะเป็น กองทัพ พีค รับบท รวี, พีพี ปุญญ์ปรีดี  รับบท ราณี, มีน พีรวิชญ์  รับบท รัก, สิงโต สกลรัฐ รับบท เฉิน, ตี๋ ธนพล รับบท รณกร และ ต่าย เพ็ญพักตร์ รับบท คุณนายเหมย

โดย 4 นักแสดงนำของเรื่องอย่าง กองทัพ พีค , พีพี ปุญญ์ปรีดี , มีน พีรวิชญ์ และ สิงโต สกลรัฐ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความสนุกและความท้าทายของละครแสนรักให้ฟังว่า

มีน : ในเรื่องรับบทเป็นลูกรักของแม่ แม่จะสปอยล์ประคบประหงม รวมถึงคาดหวังและกดดันด้วย ซึ่งในพาร์ตแรกๆ ของละครก็จะเห็นว่าแม่บังคับเรา อยากให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือถ้าเราไม่ฟังสุดท้ายจะไปตกที่รวีคนกลาง เราก็จะลอยตัวเอาเฉพาะความสุขเข้าตัวเรา แต่นี่คือพาร์ตช่วงเด็ก ในเรื่องนี้เราจะได้การเติบโตของทุกตัวละครตั้งแต่ชุดนักเรียนถึงทำงาน แต่งงาน มีครอบครัว

พีค : ถามว่าเรียกว่าได้รับความรักบ้างรึเปล่าไม่รู้เลย เอาจริงตัวละครพีคเป็นลูกคนกลาง ไม่ได้มีความคาดหวังทั้งม๊าและเตี่ย คือไม่มีใครสนใจเลย เพราะเขามีเหตุผลว่ารวีเป็นคนเก่ง สามารถเอาตัวรอดได้ เรียนเก่ง แต่ว่าจะมีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจตลอดว่าทำไมไม่ใครสนใจเราเลย ส่วนน้องคนเล็ก พี่ตี๋ ก็จะเป็นลูกรักของคุณพ่อหรือเตี่ยที่มีอะไร เตี่ยก็ประคบประหงมอย่างดี

สิงโต  : ผมคิดว่าผมคือตัวที่มาทำให้บ้านเขาวุ่นวาย แต่ถ้าถามความรักของครอบครัวผมรู้สึกว่า ผมไม่มั่นใจว่าเตี่ยเขารักเราหรือเขารู้สึกผิดกับการที่เขาไม่ได้ดูแลเรา ความต้องการของเฉินมันเยอะมาก เขาแค่หาวิธีจัดการในการไปจุดๆ นั้นได้โดยผิดที่ผิดทาง

แสดงว่าสตอรี่เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวเลย การรักลูกไม่เท่ากัน การเลี้ยงดูอะไรต่างๆ ?

พีค : ใช่ครับ แต่ก็จะได้เห็นความรักทั้งสองครอบครัวที่ต่างกัน คือจะมีความรักของบ้านตรงพานิชย์ และความรักของบ้านราณี

พีพี  :  เรียกว่าอย่างของบ้านรวีมีทั้งป๊ามีทั้งม๊าครบองค์ครอบครัว ในขณะตัวราณีไม่มีพ่อไม่มีแม่ แต่มีเพียงป้าพิสมัย (ท็อป ดารณีนุช) คนเดียวกับคุณยาย ถึงแม้เราจะมีคุณป้ากับคุณยายแต่ความรักความอบอุ่นที่เราได้รับมันสมบูรณ์มันเต็มไปหมด เราแทบไม่รู้สึกขาดอะไรเลย เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของสองครอบครัวเหมือนกัน รวมถึงวัฒนธรรมไทยกับจีนด้วยที่แตกต่างกัน

ในทีเซอร์มีความพีเรียด มันในยุคไหน ?  

พีค : เริ่มต้นตั้งแต่ 2499

มันยากแค่ไหนต้องเล่นย้อนกลับไป ด้วยภาษาแตกต่างจากปัจจุบัแค่ไหน

พีค : ฝั่งเราจะมีอั๊วกับลื้อ บางทีก็เป็นลั๊วกับอื้อ พีคมีปัญหาสุดเลย เพราะบางทีก็ลั๊วลื้อบอกแล้ว จะสลับกันบ่อยสำหรับตัวพีคเอง

พีพี : แต่ฝั่งบ้านพีพีเป็นคนไทย 100% ไม่ค่อยแตกต่างปัจจุบันมาก วิธีพูดหรืออะไรก็แล้วแต่

พีค : แต่จะฟีลมีเรื่องการแต่งตัว

พีพีเป็นไงบ้างทำงานล้อมรอบไปด้วยชายหนุ่มที่แต่ละคนร้อยคาแรกเตอร์?

พีพี : หนูต้องมีสติให้ดีมากๆ เพราะพี่ทุกคนคือเอเนอร์จี้เยอะมาก ว่องไว คุยเรื่องนี้ไปโผล่อีกเรื่องนึงได้ยังไง หนูก็ไม่รู้เขาเชื่อมเรื่องกันยังไง (ใครรับมือยากสุด ?) ทุกคนเลย แตกต่างกันไปในคาแรกเตอร์

เรื่องนี้อะไรยากสุดของแต่ละคน ?

พีค : เอาจริง ๆ เราเล่นละครมา เป็นคาแรกเตอร์ที่คนไม่ได้เห็นมุมนี้ของเราในพาร์ตนักแสดงเลย

สิงโต: ผมมองว่านี่เป็นตัวละครและคาแรกเตอร์ยากที่สุดที่ผมเคยได้เล่นเลยตั้งแต่อ่านบทมันรู้สึกว่าผมไม่น่าเล่นได้ เราไม่เห็นภาพตัวเองจะทำในแต่ละซีนของตัวละครตัวนี้ได้ อาปิ่น (ณัฏฐนันท์) เขาเห็นว่าเราน่าจะทำได้ เขาเชื่อมั่นในตัวเรา พอผมได้ไปลองเปิดกล้องลองเล่น เราก็รู้สึกเราไม่เข้ากับตัวละครเลย แต่คนที่กองก็ยังเชื่อว่าเราน่าจะทำออกมาได้ดี ไปเวิร์กช็อปเพิ่ม ไปเริ่มเรียนตั้งแต่เขาเป็นทารก ค่อยๆ โตจนมาถึงอายุเท่าเฉินในปัจจุบัน ให้เราเป็นตัวละครตัวนี้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งพอทำแบบนี้เราก็เกิดมาเป็นเฉินเลย

อะไรที่ทำให้สิงโตไม่เชื่อว่าจะเล่นได้ ?

สิงโต : รู้สึกว่ามันยาก เรารู้อินเนอร์ของเขาจะเป็นแบบไหน คือเราเป็นคนดู พอเราดูคนนี้เล่นดี ทำไมซีนนี้ยากแน่เลย แล้วเราไม่เห็นเราจะทำแบบนี้ได้ ผมคิดว่าไม่น่าเล่นได้แต่คนบอกว่าผมจะทำได้

อันนี้อย่างเฉินที่ยากที่สุดมันคืออะไร ก่อนที่จะเรียนการแสดงเพิ่ม ?

สิงโต : คือผมว่าอารมณ์มันตีกันข้างใน การแสดงออกมามันคืออีกแบบจากข้างใน ข้างในมันก็สับสนแล้ว ข้างในไม่ได้เล่น แค่ข้างในจะเศร้าแล้วเล่นออกมาเศร้า ข้างในทั้งโกรธ ทั้งเศร้า ทั้งเครียดแค้นทุกอย่างอยู่ข้างใน แต่เล่นออกมาผมไม่รู้สึกอะไรเลย หรือว่าขอแบบหน้านิ่งๆ แต่ตารู้สึก หรือให้จินตนาการไปไกล มันดูเข้าถึงยากจังเลยกับตัวละครตัวนี้ หรือเล่นเป็นทูเฟส ตัวละครเฉินทำแบบนี้ได้

พอเรามีปัญหา ไปเล่าให้ครูฟัง มันเกิดจากอะไร ?

สิงโต : แค่เราไม่เป็นเฉิน เพราะถ้าเราเป็นเฉินเราสามารถทำได้ เราเอาสิงโตไปเล่นเป็นเฉิน มันก็เลยตีกันอยู่ มันยังไม่เป็นเฉิน 100%

สิงโตเอาเฉินออกยังไง ?

สิงโต : ผมออกง่ายมาก เพราะตัวผมมันคนละเรื่องกับเฉินเลย คือมันต้องใช้สมาธิแแรงใจแรงกายมากในการเป็นอีกคนคนนึงที่มันแตกต่างจากตัวเรามากๆ พอจะกลับมาเป็นตัวเองง่ายมาก แต่การที่จะคงอยู่เฉินไว้ยากกว่าการจะออกมาอีก

แล้วเรื่องอื่นมีปัญหาอย่างนี้ไหม ?

สิงโต : เรื่องอื่นก็มีบ้าง แต่มันไม่หนักหนาสาหัสเท่าตัวนี้ เพราะตัวนี้แบ็กกราวนด์ของตัวเขาที่ไม่ได้เล่าออกมามันเยอะมากกว่าที่ออกมาในซีนที่เห็น มันถูกหล่อหลอมที่เรื่องตัวนี้ไม่ได้เล่าออกมา ซึ่งตรงนี้ผมต้องรับมาใส่ตัวเองทั้งหมด เพื่อที่จะเป็ตัวนี้ได้ เพื่อจะเริ่มซีนหนึ่ง ฉากหนึ่ง สิ่งนี้มันทำมาเยอะมากกว่าที่ได้ตรงนี้เกิดขึ้นมา

พีคเป็นอย่างไรต้องเล่นเป็น คนไม่รักเรา ?

พีค : ของพีคมันมีหลายความรู้สึกตรงที่เราเล่นมาตั้งแต่พาร์ตเด็ก ตั้งแต่ความรักเริ่มหนุ่มขึ้น เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ สักพักเป็นความรักเกี่ยวกับครอบครัว มันไม่ใช่ความรักแค่คนสองคนแล้ว เป็นความรักที่มีทั้งภาระ มีความรักที่ครอบครัวใหญ่จะมีสะใภ้ของพี่ สะใภ้ของน้องเข้ามารวมกัน การใช้ชีวิตไม่เหมือนเดิมแล้ว พีครู้สึกว่าการจะถ่ายทอดความรักตรงนี้ออกมาได้ มันยากพอสมควร แล้วก็ต้องลึกพอสมควร เพราะบางทีรวีเป็นคนที่ฟังแต่ว่าไม่ได้ทำตาม ดื้อเงียบ  เพราะเขามีตัวตนที่ชัดเจนมากๆ การที่พีคจะดึงตรงนี้ออกมาได้ มันก็เลยรู้สึกว่ามันต้องหาตัวรวีให้มันแตะรวีให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วก็จะมีเรื่องภาษา อั๊วกับลื้อ พีคจำสลับกัน มากสุดน่าจะ 10 เทค เป็นช่วงแรกที่ทุกคนสับสนกันหมด ต่างคนต่างงงในช่วงแรก ซึ่งสำหรับพีคมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าต้องปรับจูนเรื่องภาษาด้วย

พีพี : ความยากของพี คือด้วยความเป็นคาแรกเตอร์ที่พีพีไม่เคยเล่นเเบบนี้มาก่อนเลย เหมือนมีอะไรหนักอกอยู่ในใจเยอะมาก แต่ว่าเราไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด เราต้องเก็บเอาไว้ แบกเอาไว้ รวมถึงพอบทตัวละครมันเริ่มโตขึ้น ตัวรวีเขารับอะไรมาเยอะมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเขาถูกกระทำ แต่เราในฐานะคู่ชีวิตเขามันเหมือนเราต้องรักเขามากๆ จนเราสงสารเขา เข้าใจความรู้สึกเขา อยากจะช่วยเหลือเขา ในบทหลายๆ ฉากแทบไม่มีบทพูดเลย มีแค่สายตาแววตาเท่านั้นที่จะถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆ ออกมาได้ ซึ่งพีรู้สึกว่าฉากพวกนี้เป็นอะไรที่ยากที่สุด เหมือนเราแบกอะไรข้างในตัวเยอะมากทั้งความรู้สึก  ความคิด แต่ทำได้แค่มองหน้ากัน สื่อสารกันผ่านแววตาแค่นั้นเอง เพราะว่าในฉากมีคนในครอบครัวที่บางอย่างเราไม่ได้อยากบอกให้เขารับทราบทุกคน มีแค่อยากรู้กันแค่สองคน ให้กำลังใจสองคน มันเลยเป็นอะไรที่มันต้องใช้พลังงานเยอะมากๆ ในการที่เราจะถ่ายทอดหรือสื่อถึงกันและกัน นี่คือเป็นอะไรที่ยากมากที่สุดในชีวิตพีแล้วตั้งแต่เล่นมาเรื่องนี้ เหมือนกับว่าเรารู้สึกอะไรก็แสดงออกมา ทั้งแววตา ท่าทาง คำพูด แต่อันนี้รู้สึกอะไรมันเหมือนต้องเล่นสองชั้น เป็นแบบรู้สึกนะแต่พูดไม่ได้ แสดงออกไม่ได้ แต่ต้องทำให้คนดูรู้ว่าเราก็รู้สึกสิ่งนี้เหมือนกัน หนูก็เลยรู้สึกว่ายากมาก ตอนอ่านบทเหมือนดูไม่ยากเลย คำพูดดูสบายๆ แต่พอเราได้เข้าฉากจริงแล้ว เนื้อเรื่องจริงแล้ว มันคือถ่ายทอดชีวิตของมนุษย์แต่ละคนจริงๆ ว่าทุกคนล้วนมีเรื่องราวอุปสรรคหรือว่าปมด้อย หรือว่าอะไรต่างๆ ที่ต้องแบกรับเอาไว้ แต่พูดออกมาไม่ได้ทั้งหมด มันเลยแบบยากมาก

มีน : ไม่ง่ายครับ แต่ค่อนข้างต่างจากคนอื่น คือคนอื่นเล่นซับซ้อน แต่ของผมเล่นชั้นเดียว อยากได้ก็ขอ อยากได้ก็บอก ไม่อยากได้ก็ไม่เอา อันไหนทุกข์ใจก็ไม่รับ รับแต่เรื่องดีๆอย่างเดียว อันนี้คือตัวละครรักในวัยเด็ก แต่สำหรับผมก็ยากนะเพราะตัวตนผมใช้ความคิดเยอะ แต่ตัวละครนี้ใช้ใจนำทางเยอะ อยากได้ก็บอกพูดเลย ถ้าแม่โกรธก็้ง้อขอโทษ แต่ผมคิดว่าความยากคือเราต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปีในเรื่อง ตั้งแต่อีพีแรกถึงอีพีสุดท้าย แล้วเวลาเราถ่าย เราไม่ได้ถ่ายไล่จากเด็กแล้วไปโต เราถ่ายกระโดดไปกระโดดมา ทำให้นักแสดงทุกคน ผมคิดว่าความยากมันคือการตอนนี้เรายังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ เดี๋ยวอีกซีนนึงเราต้องไปถ่ายตอนกลายเป็นเจ้าของธุรกิจ อีกซีนนึงต้องแบบครอบครัวรักกัน อีกซีนครอบครัวทะเลาะกัน มันต้อง continue เยอะมาก กระโดดไปกระโดดมาพอสมควร แต่คิดว่าคนดูน่าจะสนุก เพราะว่าจะได้เห็นตัวละครที่รัก ตัวละครที่ไม่ชอบ ตัวละครที่หมั่นไส้ เติบโตดูพัฒนาการไป ตอนแรกอาจจะชอบคนนี้สักพักอาจจะเห็นใจคนนี้ สักพักอาจจะเกลียดคนที่เราชอบก็ได้ อาจจะได้เห็นมุมมองพวกนี้ในเรื่อง

สิงโต: ผมคิดว่าความยาก คือ เล่นให้คนเข้าใจมากกว่า คือคนชอบถามว่า เมื่อกี้ผมเข้ามาถามว่าตัวนี้ร้ายไหม ผมไม่เคยมองว่าตัวละครผมเล่นมันร้ายไง แต่ผมมองว่าตัวละครนี้อาจจะถูกกระทำอะไรมา หรือว่าอยากทำอะไรโดยที่ลืมอะไรไปหรือพัฒนามาแบบไหน ฉะนั้นไม่ว่าตัวละครเราจะแย่แค่ไหน แต่ผมเชื่อว่าในแง่มุมนึง ถ้าคนดูได้ดูเต็มๆ ก็อาจไม่ได้รักเขาหรอกแต่ว่าเข้าใจเขาทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ เรื่องนี้มันกลมมากสำหรับผม เพราะว่าในตอนพาร์ตหลังๆ อยากให้ดูไปเต็มๆ จะได้เห็นว่าทุกคนมีเหตุผลว่าทำไมต้องทำตัวแบบนี้ รวมถึงแม้แต่กระทั่งแม่เองที่สอนเรา อยากให้เราอย่างนั้นอย่างนี้เพราะอะไร ทำไมถึงรักผมมากกว่ารักคนอื่น อยากให้ไปดู

จะนิยามความเข้าใจของละครเรื่องนี้ให้คนดูเข้าใจง่ายๆ อย่างไร นำเสนออะไรนอกจากความรักลูกไม่เท่ากัน ว่าเป็นแนวอะไร ?

พีค : ถ้าเป็นประเภทของละครเลย สั้นๆ ง่ายๆ ก็จะเป็นแฟมิลี่ ดราม่า มีคอมเมดี้สอดแทรกเข้าไปด้วย ที่มันจะมีไม่ใช่ความเครียด จะเป็นทุกคนจะได้เห็นพาร์ตชีวิตของคน มันจะมีทั้งการเติบโตมี ทั้งความที่ได้ตกหลุมรัก ลองผิดลองถูก จะมีหมดเลย

แล้วคำว่า แสนรัก มันคืออะไร ?

พีค : แสนรัก เริ่มต้นมาจากความรักหลายรูปแบบ เพราะคำว่า แสนรัก ใช้คำว่าแสนเป็นจำนวนมาก คำว่ารักเป็นคำว่ารักจำนวนมาก พอรักจำนวนมาก มันมีรักสองแบบ คือรักแบบไม่ควบคุม แต่พอแสนรักอาจจะเป็นอีกมุมหนึ่งคือรักแบบควบคุม เพราะว่าเรารักเขามาก ก็เลยเป็นที่มาของแสนรัก

แล้วรู้สึกยังไงกับการแสดงละครที่เล่นตั้งแต่เด็กยันโตจนอายุเยอะ มันดีต่อเรายังไง

พีค : คือได้ใส่ชุดนักเรียน อีกอย่างหนึ่งได้ทำความรู้จักกับตัวละครตั้งแต่แรก เอาจริงๆ ตั้งแต่เขาอยู่มัธยม จนเห็นเขาทำผิดนะ ซึ่งตัวละครทุกตัวมีพาร์ตทำผิดหมดเลย แต่ว่าเขามีเหตุผลของเขา นี่แหละคือความรู้สึกที่เราได้เติบโตกับตัวละคร ได้ทำความรู้จักเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่พระเอกนางเอกรักกันแต่งงานกัน อันนี้มีชีวิตหลังแต่งงานด้วยที่เขาไม่ได้ใช้ชีวิตแค่สองคน เขาเข้ามาบ้านใหญ่ต้องมาเจอพี่ๆ น้องๆ ซึ่งไม่ได้มีความสบายใจที่อยู่ด้วยกัน

ในคาแรกเตอร์แต่ละคนมีคิดขัดแย้งกับคาแรกเตอร์เราไหม ?

มีน : เยอะครับ เรื่องนี้ห่างตัวผมมาก ทุกอย่างที่รักตัดสินใจ เป็นสิ่งตรงข้ามผมหมดเลย เช่น การตัดสินใจเลือกเชื่อคนผิด ตัดสินใจเลือกลองทางผิด

พีพี : ราณีเป็นคนพูดตรง พูดชัด ด้วยรูปประโยคแรงมาก แต่ด้วยอินเนอร์ของเขา หรือคาแรกเตอร์แค่ต้องการเพื่อแค่อยากจะบอก เขาแค่อยากสื่อสาร เขาไม่ได้อยากทำร้ายใคร หรือเขาแค่อยากแสดงจุดยืนสิ่งที่ควรจะเป็น มันน่าจะเป็นเเบบนี้ แต่ถ้าเป็นพีพีอาจจะไม่กล้าพูดมา 100% พีอาจจะประนีประนอมมากกว่านี้  หรืออาจจะไม่ฟันไปเลย ไม่เชือดเฉือนขนาดนั้น แต่ราณีเขาเป็นแบบหัวสมัยใหม่ เขามีความกล้า เขาอายุเป็นเหมือนตัวเลขว่าจะอายุเยอะกว่า ไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่าการเป็นผู้ใหญ่จะถูกเสมอ แต่ว่าเขามองหลักความถูกต้องและความยุติธรรมมากกว่า แต่เป็นหนูก็เบาหน่อย  ไม่กล้าฟันเท่ากับราณี

พีค : มีหลายอย่างที่เรามองว่าทำไมรวีใจเย็นอะไรขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นพีคจริงๆ อย่างเช่นมีคนนู้นคนนี้ทำปัญหาแบบนี้ แล้วไม่เอาไหนแบบนี้ รวีไม่เป็นไร เราก็ปล่อย เขาเป็นพี่น้องอะไรอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นพีคไม่ใช่  พีคเรียกมาคุยเลย นี่รู้สึกว่าการพูดคุยไม่ได้คุยด้วยอารมณ์ แต่คุยด้วยเหตุผล แต่รวีเขาเเบกมา 20 ปี ตั้งแต่เขามัธยมจนปลายๆ เรื่อง เขาก็ยังเก็บไว้อยู่ เขาไม่พูดเขาไม่บอกใคร มีคนเดียวที่เขาบอกคือราณี เขาเก็บไว้อย่างนั้นจนสุดท้ายเขาระเบิดตู้มออกมาทีเดียว พีครู้สึกว่าพอมองรวีแล้ว จริงๆ ถ้ารวีค่อยจัดการทีละนิด สุดท้ายแล้วมันคือความรู้สึกในใจข้างในมาตลอด มันจะพัง

สิงโต : ขัดแย้งแทบจะทุกอย่าง ตัวเราไม่เข้าใจเขาด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมีคนทำแบบนี้ ซึ่งมันมีจริงๆ มันมีคนหลากหลาย เขาตัดสินใจโลกหล่อหลอมให้เขาเป็นเป็นแบบนี้ เหมือนสังคมทำให้เขาเป็นคนอย่างนี้ แล้วเขาโทษสังคม แต่ลืมโทษตัวเอง หรือโทษตัวเองมากเกินไปจนเขาคิดว่าหนหาทางที่ดีไม่มีอีกแล้ว หรือไม่เห็นหนทางอื่นนอกจากทางนี้เท่านั้น ซึ่งตัวละครนี้มันดีตรงที่ว่าจะมีทางหลายทางทุกช่วงอายุ เพราะปัญหาของคนในแต่ละวัยไม่เหมือนกัน ตอนเด็กคิดว่าปัญหานี้ใหญ่โลกแตกสลาย เช่น การเลิกกับแฟน แต่พอโตมารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ไม่ได้อยู่กับคนนี้เพื่อเราจะได้ไปเจอคนที่ดีกว่ารึเปล่า ทุกปัญหาของทุกวัยแตกต่างกันซึ่งเรื่องนี้จะได้เห็น เริ่มตั้งแต่มัธยม เพราะปัญหาของเด็กมัธยมก็มี ปัญหาคนทำงานก็มี ปัญหาถึงวัยเริ่มมีอายุเยอะแล้วก็มีแตกต่างกันไป ทำให้คนได้ข้อคิดจากสิ่งๆ นี้เหมือนกัน

ในพาร์ตคู่รักที่ต้องเผชิญกับอุปสรรค แล้วก็เป็นลูกสะใภ้ที่ต้องฟาดฟันกับม๊า เป็นอย่างไรบ้างความสัมพันธ์ทั้งคู่ ?

พีค : จริงๆ ยากตั้งแต่ตอนถ่ายทำ เป็นพาร์ตที่ตั้งแต่เด็กยาวจนถึงตอนโต เรามานั่งคุยเรื่องบทกันตลอดตรงกลางอยู่ตรงไหน เพราะว่าในการที่เราส่งฟีลลิ่งออกไปมากเกินไปก็ไม่ได้ เพราะมีอีกหลายคนในครอบครัวที่เราอยากพูดคุยแค่สองคน เหมือนเป็นพาร์ตที่ต้องคอนโทรลจริงๆ ว่าอย่าพูดอย่างนี้กับคนอื่น เก็บไว้แค่เราสองคน มันเหมือนจะไปสุดก็ไปสุดก็ไม่ได้ จะน้อยเกินไปก็ไม่ได้ พาร์ตตอนเด็กสนุกจะมีความเป็นเด็ก ไร้เดียงสา ความรวีชอบคนนี้ก็มีการไปตามจีบเขาที่โรงเรียน

พีพี : เหมือนช่วงวัยเด็กเราทำทุกอย่างไปด้วยความรัก ความไร้เดียงสา ความรักแบบบริสุทธิ์ เราไม่รู้ว่ามันจะมากน้อยแค่ไหน แต่พอเราเริ่มโตขึ้น มันมีเรื่องหลายอย่างให้ต้องคิด ไม่ใช่แค่เรื่องความรักอย่างเดียว มันมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามามากขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรวีกับราณี มันต้องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คอยเป็นเหมือนสองมือสองขาที่คอยประคับประคองให้กับความสัมพันธ์ของเรา ให้ไปรอด รวมถึงไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ แต่ชีวิตของเราทั้งสองคนว่าเราจะทำยังไงให้เราผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้ โดยใช้ความรักเป็นตัวนำทางเป็นตัวยึดเหนี่ยวความรู้สึกของความสัมพันธ์นี้ไว้ แล้วจะเอาชนะกับอุปสรรคทุกอย่างให้ได้

ให้แต่ละคนพูดถึงคุณแม่ เป็นอย่างไรบ้างกับพี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ?

พีค : พี่ต่ายน่ารัก จริงๆ ในพาร์ตละครกับในชีวิตจริงไม่เหมือนกัน เพราะพี่ต่ายเอนเนอร์จี้สูงมากในตอนอยู่ในเซ็ต จะเป็นคนที่ทำให้ทุกคนกลัวได้ ด้วยในตัวบทด้วยมันทำให้เราเชื่อเลยว่าเขาเป็นม๊าเราจริงๆ

สิงโต : ผมปะทะกับเขาทั้งเรื่อง อารมณ์เขามาแค่ไหนผมจะต้องไม่แพ้เขา เพราะงั้นคือการอินเนอร์ปะทะใส่กัน ตัวละครไม่ชอบขี้หน้ากัน

พีพี : ด้วยอินเนอร์สายตาพี่ต่าย เขาทำให้เราเชื่อ 100% จริงๆ ว่านี่คือคุณนายเหมย แต่ด้วยตัวราณีเขาก็รับรู้ที่คุณนายเหมยเป็นแบบนี้ คือจริงๆ ไม่มีอะไรหรอก เขาทำอย่างไปเพราะว่าเขารักลูกทั้งสามคนมากๆ ราณีก็เลยเข้าใจได้ ก็รับมือได้ว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่เราก็ขอสู้กลับไปนิดนึง  แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเกลียดหรือไม่ชอบอะไร เพราะเราเข้าใจเขาได้ เข้าใจหัวอกของความเป็นแม่ที่รักลูกเกิน

มีน : ผมในฐานะเป็นลูกรัก (ในเรื่อง) ของแม่ต่าย ผมก็จะพยายามเอาตัวเองเข้าไปสนิทสนมกับแม่ต่ายมากที่สุดในชีวิตจริงด้วยแหละ ทุกคนก็จะเห็นแม่ต่ายมีมุมประจำของเขา เวลาถ่ายเสร็จ พักเบรก เขาก็จะไปนั่งอยู่มุมนึง เราก็จะเข้าไปชวนคุยกับแม่ต่ายค่อนข้างเยอะ ชีวิตจริงเขาเป็นผู้หญิงแมนๆ ชอบเล่าเรื่องวีรกรรมสมัยวัยรุ่น ก็ได้คุยได้แชร์กันเยอะ เวลาเข้าฉากกันสำหรับผมก็เลยได้รับส่งความรักกันได้ดี

ฝากละครเรื่องนี้ ?

มีน : เรื่องนี้ได้ออนแอร์ช่วงเทศกาลวันแม่พอดี เราคิดว่าเรื่องนี้หลักๆ คนดูน่าจะได้เห็นมุมมองความรักของทั้งความรักที่ลูกมีต่อแม่และลูกปฏิบัติต่อแม่ ทั้งปฏิบัติดีไม่ดีมันไม่ได้แปลว่าเราไม่รักแม่ รวมถึงการที่แม่บังคับเราหรืออยากให้เราเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ เขาก็ไม่ได้ทำ เพราะเขาไม่ชอบเรา ไม่รักเรา เขาก็มีมุมที่เขารักเราและอยากปกป้องเราในรูปแบบหนึ่ง ฉะนั้นเรื่องนี้ดูกันได้ทั้งครอบครัว นั่งดูกันนั่งเมาธ์กันน่าจะสนุกดี

พีพี : พีว่าเป็นจังหวะที่ดีมากๆ ของเดือนสิงหาคม แล้วแสนรักฉายพอดี เพระว่าเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนได้เห็นถึงความรักของแม่ที่มีต่อลูก เด็กๆ หรือน้องๆ บางทีอาจไม่เข้าใจอะไรหลายอย่างกับการกระทำว่าแม่ทำแบบนั้นแบบนี้ รักเราหรือไม่รักเรา แต่พีมองว่าเรื่องนี้เมื่อดูจนจบ เราจะได้คำตอบว่าทุกอย่างมีเหตุผลว่าเพราะอะไรแม่ถึงทำแบบนี้ ทำไมแม่ถึงไม่พูด แม่ถึงไม่บอก แต่ลึกๆ แล้วเขาทำไปด้วยความรักทั้งนั้น ความปกป้อง ความห่วงใย ในฐานะลูก พีก็ไม่แตกต่างกัน ถ้าสมมติได้ดูเรื่องนี้ก็จะได้เห็นคาแรกเตอร์ของลูกๆ ที่แตกต่างกันไป แล้วก็ผลกระทบที่ตามมาจากการกระทำแต่ละการกระทำ จะนำชื่อเสียงมาให้ครอบครัว หรือนำชื่อเสียมาให้ หรือจะทำให้พ่อแม่เสียใจมากน้อยแค่ไหน หรือจะให้พ่อแม่มีความสุข พีว่าเรื่องนี้อีกหนึ่งเรื่องที่จะเป็นตัวอย่างสะท้อนสังคมหลายๆ อย่างให้คนดูได้กลับมาตระหนักคิด คิดได้ว่าความรักความสัมพันธ์ของครอบครัวมันสำคัญแค่ไหน

รวบแม่ค้าสาว ตุ๋นขายต้นไม้ สูญ 3.4 ล้าน มีหมายจับติดตัว 10 คดี

ตุ๋นขายต้นไม้

กองปราบ รวบสาวแสบสิบแปดมงกุฎ ตุ๋นขายต้นไม้ ก่อนเชิดเงินหนี เหยื่อหลงเชื่อหลายเสียหายรวมกว่า 3.4 ล้านบาท พบหมายจับติดตัวรวมกันเกือบ 10 คดี

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พล.ต.ต.วิทยา ศรีประสริฐภาพ ผบก.ป. สั่งการ พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป., พ.ต.ท.จิรยุทธ์ ชัชรินทร์กุล สว.กก.5 บก.ป. จับกุม น.ส.อรณี (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี ตามตามหมายจับศาลจังหวัดนครนายก ข้อหา “ฉ้อโกง” และ หมายจับในคดีลักษณะเดียวกันท้องที่จันทบุรี และ ชลบุรี อีก 7 หมายจับ โดยจับกุมตัวได้ในพื้นที่ ต.ท่าแซะ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร

สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ น.ส.อรณี ผู้ต้องหารายนี้มีอาชีพเปิดร้านขายต้นไม้ใหญ่ และ ไม้ตกแต่งสวนทั่วไป แต่เมื่อมีลูกค้าติดต่อสั่งซื้อต้นไม้กลับ น.ส.อรณี พร้อมกับโอนเงินค่าต้นไม้ไปให้ ปรากฎว่าเมื่อถึงวันนัดหมายส่งมอบสินค้า น.ส.อรณี กลับไม่มีการจัดส่งต้นไม้ไปให้ตามที่ตกลงกันไว้ ก่อนจะเชิดเงินค่าสินค้าหนีหายไป

ตุ๋นขายต้นไม้

ที่ผ่านมา มีผู้ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินให้จำนวนหลายรายจากหลายพื้นที่ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ จ.จันทบุรี นครนายก และชลบุรี รวมมูลค่าความเสียหายเป็นเงินรวมกว่า 3.4 ล้านบาท ก่อนพากันกระจายเข้าแจ้งความตามท้องที่ต่างๆ จนมีการออกหมายจับคดีฉ้อโกงทรัพย์ รวม 8 หมายจับ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทราบว่าปัจจุบัน น.ส.อรณี ได้หนีมาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ จ.ชุมพร จึงนำกำลังตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว อย่างไรก็ตามจากการสอบสวน น.ส.อรณี ยังคงให้การปฏิเสธ เบื้องต้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ตุ๋นขายต้นไม้

นิวคาสเซิลขอเคลียร์สถานการณ์อิซัก ก่อนตัดสินใจซื้อแจ็คสันร่วมทีม

Reuters

นิวคาสเซิลขอเคลียร์สถานการณ์อิซัก ก่อนตัดสินใจซื้อแจ็คสันร่วมทีม

สำนักข่าว “พีเอ” รายงานว่า นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด รอดูสถานการณ์ของอเล็กซานเดอร์ อิซัก กองหน้าทีมชาติสวีเดนก่อนว่าจะได้ข้อสรุปอย่างไร ก่อนที่จะเดินหน้าซื้อนิโคลัส แจ็คสัน กองหน้าเชลซีมาเสริมทีม

อิซักยังไม่ได้ซ้อมกับทีมนับตั้งแต่พรีซีซั่น เพราะต้องการย้ายออกจากทีม และมีลิเวอร์พูลเป็นปลายทางที่อยากย้ายไปเล่นให้ ซึ่งมีความเป็นเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่ได้ลงช่วยทีมสาลิกาดง ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล ที่จะเจอกับแอสตัน วิลล่า ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตามบอร์ดบริหารนิวคาสเซิลยืนยันแล้วว่าจะไม่ขายอิซักออกจากทีมไปในตลาดรอบนี้เด็ดขาด

ในขณะที่แจ็คสันไม่มีชื่อลงเล่นเกมอุ่นเครื่อง ที่เชลซีเอาชนะเลเวอร์คูเซ่น 2-0 รวมทั้งเกมชนะเอซี มิลาน 4-1 ก็ไม่มีชื่อแม้แต่เป็นตัวสำรอง ซึ่งทีมสิงห์บลูพร้อมขายเขาออกจากทีมให้ทันปิดตลาด ซึ่ง “สกาย สปอร์ตส” รายงานว่า แจ็คสันต้องการย้ายไปอยู่กับนิวคาสเซิลมากที่สุด