จิตวิวัฒน์ : ตำนานมีชีวิต(1) ตำนานในฐานะลายแทงจิตวิญญาณมนุษย์

Myth หรือ ตำนาน เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์บางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ได้ เช่น ตำนานพญานาคหรือนางเงือก มีเทพมากมายที่มีอิทธิพลกับความเชื่อ มีตำนานเกี่ยวกับกษัตริย์ เกี่ยวกับเด็กกำพร้า

การกระทำของตำนานคือพิธีกรรม

ผมสนใจแง่มุมที่ว่าตำนานเป็นลายแทง เหมือนเราดูละครและเอามาเปรียบเทียบว่าเราเป็นตัวละครไหน จึงอยากจะลองเอามาแบ่งปันและแลกเปลี่ยนกัน

ผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้เรื่องตำนาน แต่เป็นนักเรียนหรือผู้ศึกษาค้นหาว่าตำนานคืออะไร คำที่สำคัญคือ ตำนานมีชีวิต (The Living Myth) ซึ่งหมายถึงการค้นหาตำนานของตัวเอง แปลกที่ว่าเราจะไม่รู้ว่าตำนานของตัวเองคืออะไร จนกว่าจะได้เดินทางและมองย้อนกลับไปในชีวิต ที่สำคัญ ต้องไม่ใช้เหตุผล แต่ใช้จินตนาการมากๆ “ทำไมเกิดเหตุการณ์นี้กับเรา” บางคนอาจบอกว่าไปหาหมอดูง่ายกว่า แต่ผมเป็นคนที่ชอบถอดรหัสว่าสิ่งที่เป็นเราคืออะไร

Advertisement

ตำนานอาจให้สัญลักษณ์บางอย่างที่ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ว่าสิ่งที่เราเป็นคือบทบาทอะไร มีความหมายอย่างไร เส้นทางทางจิตวิญญาณของเราคืออะไร

มีคนถาม โจเซฟ แคมพ์เบลล์ (Joseph Campbell) นักปกรณัมวิทยา ผู้ศึกษาเรื่องตำนานจากวัฒนธรรมทั่วโลก ว่าจิตวิญญาณหรือเส้นทางจิตวิญญาณของคุณคืออะไร เขาบอกว่าจิตวิญญาณของเขาคือการอ่านหนังสือแล้วขีดเส้น เขาเป็นคนชอบอ่านแล้วต้องขีดเส้นใต้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่สำหรับคนอื่น

การเรียนรู้เรื่องตำนานทำให้เราเห็นว่าบางอย่างที่ดูธรรมดา ไม่น่าจะมีอะไร ไปๆ มาๆ กลับมีความหมาย พฤติกรรมที่เราแอบทำ สังคมไม่เห็นด้วย หรือศาสนาและสังคมบอกว่าธรรมดา ไม่มีอะไร เช่น ชอบกินเหล้า สูบบุหรี่ แต่งหน้า เปลี่ยนทรงผม เป็นต้น ในมุมมองของตำนาน อาจมีอะไรอยู่ในนั้น เมื่อศึกษาเรื่องตำนาน เราจะเห็นได้กว้างขึ้นว่าจริงๆ แล้วเส้นทางการเป็นมนุษย์มีความเป็นไปได้มากมาย

Advertisement

ตำนานเป็นความฝันของสังคม ของอารยธรรมมนุษย์ ทุกอารยธรรมมีตำนานของตัวเอง อย่างเช่นตำนานพระสยามเทวาธิราชของไทย ตำนานช่วยอธิบายว่ามีพลังอำนาจบางอย่างดูแลเราอยู่ มนุษย์ต้องสร้างเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา เพราะมนุษย์เกิดมาแล้วยังพึ่งตัวเองไม่ได้ในทันที ในทางร่างกายเราเริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นเพศใดเมื่ออายุประมาณ 4 ขวบ ตอนที่ฟันน้ำนมซี่แรกหลุด ตำนานจึงถูกสร้างเพื่อเป็นเครื่องดูแลใจ เพราะมนุษย์ต้องใช้เวลานานกว่าจะพึ่งตัวเองได้ทางร่างกาย

ความสัมพันธ์แรกที่มนุษย์มีคือความสัมพันธ์กับแม่ เราถูกสอนให้รู้ว่าชีวิตจะอยู่รอดได้ถ้าพึ่งพาความสัมพันธ์นี้ แม้คนที่ไม่ได้โตมากับแม่ก็อาจจะมีใครสักคนหนึ่งคอยดูแล ไม่มีใครโตขึ้นมาเองได้โดยไม่มีคนดูแลตั้งแต่เกิด กระทั่งในนิทาน ทารกยังโตมากับสัตว์ เพราะจิตของมนุษย์มีความกลัว ต้องการบางสิ่งมาบอกว่าใครดูแลเราอยู่ เรื่องราวของการพึ่งพิงดังกล่าวเป็นแนวคิดหลักอย่างหนึ่งของตำนาน

ตำนานมีหน้าที่ใน 4 ด้าน คือ
1.ทำให้เห็นว่ามีบางอย่างอัศจรรย์ น่าทึ่ง และศักดิ์สิทธิ์
2.อธิบายกฎระเบียบของจักรวาลว่ามีปรากฏการณ์บางอย่าง
3.กฎระเบียบทางสังคมว่าสิ่งใดควรจะเป็นอย่างไร
4.เชิงจิตวิทยา การปลดปล่อยจิตวิญญาณ

ตำนานเป็นเรื่องราวที่พูดว่าสิ่งใด “ศักดิ์สิทธิ์” คือคอยดูแลเราอยู่ และเราไม่สามารถไปทำร้ายได้ ต้องเคารพ การมีความสัมพันธ์ที่ให้ความเคารพจึงจะได้รับการดูแล ตำนานถูกสร้างมาจากการสังเกตธรรมชาติ เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เมื่อถึงเวลาที่ฝนจะตก คุณไม่สามารถไปเปลี่ยนได้

ประเด็นหลักคือมีบางสิ่งที่ดูแลเราอยู่ อธิบายว่าการเกิดและการตายคืออะไรในแต่ละช่วงชีวิต บางวัฒนธรรมถือว่าไม่มีการตาย มีแต่การเปลี่ยนสภาพและกลับไปอีก ทำให้จิตของเราไม่กลัวจนเกินไป ในตำนานของศาสนา เช่น คริสต์ ถือว่าการตายมีสองชนิด ตายแล้วถูกตัดสิน คุณต้องทำความดีกับตายแล้วคุณจะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ พระเยซูยอมตายเพื่อให้มนุษย์ได้ไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าอย่างนิรันดร์ และได้รับการไถ่บาปทั้งมวล มันช่วยโอบอุ้มประคองจิตของมนุษย์ให้รู้สึกปลอดภัย

ก่อนที่เราจะมีวิทยาศาสตร์ เรามีตำนานในการอธิบายสิ่งต่างๆ เช่น ฟ้าผ่าเกิดจากรามสูรขว้างขวาน และอธิบายว่าธรรมชาติมีระเบียบ (Order) บางอย่างที่ต้องเป็นไปตามนั้น ความเชื่อเหล่านี้มีอิทธิพลต่อชีวิตในครอบครัว เช่น ในวัฒนธรรมจีน ความเชื่อแบบขงจื๊อถือว่าจักรวาลมีระเบียบที่ชัดเจน และชีวิตจะดีถ้าคุณดูแลขนบธรรมเนียม เคารพบรรพบุรุษ จำชื่อและเรียกตำแหน่งญาติให้ได้ ทุกอย่างเป็นแบบแผน ผลของตำนานในแง่นี้คือการควบคุมพฤติกรรมให้อยู่ในร่องรอย เป็นขนบทางสังคม (Social Order) เช่น ผู้ชายที่ดีต้องทำหน้าที่อะไร ผู้หญิงที่ดีต้องเป็นอย่างไร เป็นการรักษากฎระเบียบบางอย่างไว้ แต่ก็จำกัดเส้นทางความเป็นไปได้ของชีวิต

การเติบโตเป็นการเรียนรู้ เป็นการศึกษา ตำนานเช่นพระพุทธเจ้าประสูติมาแล้วเดินได้เจ็ดก้าวทันที ถูกละเลยเพราะถูกสอนว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีต บางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อเพราะไม่รู้จะเชื่อไปทำไม บางคนถามว่าสวรรค์อยู่ไหน บางคนไม่คิดว่ามีสวรรค์ เช่น รัชกาลที่ 4 ซึ่งได้รับอิทธิพลของวิทยาศาสตร์ เริ่มตั้งคำถามกับดินแดนสุขาวดีหรือสวรรค์นอกตัว หันมาดูนรกข้างในตัวเอง หรือพระเยซูที่เกิดมาจากหญิงบริสุทธิ์ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ถ้าตีความในแบบวิทยาศาสตร์ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าตีความในเชิงจิตวิทยา คือการเกิดทางจิตวิญญาณที่ไปพ้นเรื่องเพศ จะต้องละทิ้งเรื่องเพศ

หมอยาหรือหมอผี (Shaman) ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณคล้ายๆ พระสงฆ์ หมอผีหลายเผ่าจะเข้าถึงการเป็นหมอผีได้หลายวิธี หนึ่งคือป่วยหนักใกล้ตายและรอดมาได้ และประสบกับปรากฏการณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้ด้วยคำพูด เหมือนกับได้สื่อสารกับพลังงานบางอย่างในธรรมชาติ อีกทางหนึ่งคือต้องละทิ้งเพศตัวเอง (Transsexual) ในบางเผ่าคนที่เป็นหมอผีต้องละทิ้งเพศสภาพบางอย่างเพื่อเข้าไปหลอมรวมกับเพศตรงข้ามในตัวเอง

จุดกำเนิดของเส้นทางจิตวิญญาณจะมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ มาในรูปแบบของวิกฤตชีวิตบางอย่าง มาตอนที่เรารู้สึกว่าโชคร้ายมากๆ เช่น อยู่ๆ เราก็เป็นมะเร็ง มีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงเดือนเดียว หรืออยู่ๆ พ่อกับแม่ที่เราไม่คิดว่าจะป่วยก็ป่วยขึ้นมา ปรากฏการณ์ดังกล่าว ในภาษาของตำนานเรียกว่าการทำให้เกิดการเริ่มต้น (Initiation) ทำให้ชีวิตเราหลุดออกจากเส้นทางความเป็นปกติ เพราะมีบางอย่างในตัวเราที่รอการเกิด รอการปะทุ รอการงอกขึ้นมา

หลายคนอยากเจอ “การทำให้เกิดการเริ่มต้น” เร็วๆ ไปเข้าอบรมมากมาย แต่ถ้ายิ่งอยากจะยิ่งไม่ได้เจอ หรือบางคนค้นพบตัวเองได้เร็ว บางคนรู้สึกว่าตัวเองแก่ เข้าใจโลกนี้มาก มองเห็นนกตายก็ดูสวยงาม หรือเราอาจจำเหตุการณ์ในวัยเด็กก่อนอายุ 4-5 ขวบได้ลางๆ ตอนที่เรายังไม่ถูกสอนเรื่องถูกผิดมากนัก ในทางจิตวิทยา พฤติกรรมวัยเด็กเป็นข้อมูลสำคัญว่าเราคือใคร บางคนชอบปีนต้นไม้ บางคนชอบประกอบเครื่องบิน ผู้หญิงบางคนฝันอยากจะเป็นผู้ชาย แต่พอโตแล้วถูกห้าม

อยากให้ทุกคนสังเกต เปิดรับความทรงจําเหล่านี้เพราะมันจะให้ข้อมูล ให้แง่มุมบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวเรา ในแง่ “การทำให้เกิดการเริ่มต้น” บางเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราเพราะในตัวเรามีเมล็ดพันธุ์บางอย่างที่ต้องการงอกขึ้นมา

แคมพ์เบลล์บอกว่าเขาชอบบันได 5 ขั้น ของมาสโลว์ ว่าเราควรจะมีชีวิตเพื่ออะไร หลังจากที่อำนาจการอธิบายของศาสนาเสื่อมลง มาสโลว์อธิบายว่าเพื่อ 1.การอยู่รอด (Physiological) 2.ความปลอดภัย (Safety) 3.ความรัก (Love/Belonging) 4.การยอมรับ (Esteem) 5.การบรรลุศักยภาพบางอย่างในตัวเอง (Self-Actualization) แคมพ์เบลล์บอกว่า คนที่มีชีวิตตามตำนานของตัวเองจะไม่สนใจอิทธิพลทั้ง 5 ด้านนี้ ประโยคสั้นๆ คือว่า ชีวิตทางตำนานของเราจะเริ่มต้นเมื่อเราเริ่มบ้า คือไม่ได้สนใจเหมือนมนุษย์ทั่วไปอีกต่อไปจนอาจจะดูเหมือนบ้า

ณัฐฬส วังวิญญู
www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat
สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image