ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
แรกที่ พล.ท.ถนอม กิตติขจร ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี” ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2501
ภาพที่ปรากฏ “น่าเกรงขาม”
เนื่องจากที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก
ทั้งต่อมาก็เข้าดำรงยศเป็น พล.อ. ถนอม กิตติขจร
แต่แล้วเพียงไม่กี่เดือนต่อมา พล.อ.ถนอม กิตติขจร ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ก็เริ่มถูกท้าทายจาก “สภา”
ทั้งจาก “ประชาธิปัตย์” ทั้งจาก “ชาติสังคม”
แม้ว่ารัฐประหารเดือนตุลาคม 2501 อาจทำให้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าแทนที่ แต่หลังเดือนธันวาคม 2506 พล.อ.ถนอม กิตติขจร ก็หวนเข้าสู่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” อีกครั้ง
สงสัยหรือไม่ว่าเหตุใด “จอมพลถนอม” จึงกลายเป็น “เจ๊หนอม”
บรรยากาศก่อนเกิดสถานการณ์เดือนตุลาคม 2516 จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีถูกท้าทายเป็นอย่างสูงในทางการเมือง
ถูกท้าทายจาก ส.ส. “สหประชาไทย”
กระทั่ง จำเป็นต้องก่อรัฐประหารเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2514 อันเท่ากับเป็นการรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาลของตัวเอง
นั่นก็คือ “ถนอม” โค่น “ถนอม”
ต่อมา ก็เริ่มมีการเรียกขาน จอมพลถนอม กิตติขจร ว่าเป็นนายกฯ “เชนย์รัชดา” แล้วก็ค่อยๆ เพี้ยนกลายเป็น “เขย” รัชดา
ในฐานะที่เป็น “สปอนเซอร์” ละครคณะ “เชนย์รัชดา”
ต่อมา การเรียกขานก็ไปไกลถึงระดับ “นายกฯช่อฟ้า” และทะลวงลึกลงไปถึงขั้นเรียกว่า “นายกฯ
เจ๊หนอม” ด้วยความเอ็นดู
ทั้งหมดนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีส่วนอย่างสำคัญ
บทบาทของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในการเรียกขาน “นายกรัฐมนตรี” มิได้มีแต่ จอมพลถนอม กิตติขจร
ตรงกันข้าม สะสมมาอย่างยาวนานแล้ว
อย่างการเรียกขาน จอมพล ป.พิบูลสงคราม ว่า “นายกฯตราไก่” ก็มาจากการผลักรุนอย่างทรงพลังจาก “ค่ายสยามรัฐ”
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เว้นให้คนเดียวเท่านั้น คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ความจัดเจนของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นี้เป็นความจัดเจนในแบบ “ประชาธิปัตย์” และเมื่อมาทำ “สื่อ” ก็ยิ่งไปโลด
พลันที่ จอมพลถนอม กิตติขจร กลายเป็น “เจ๊หนอม”
แม้จะดำรงตำแหน่งเป็น 1 นายกรัฐมนตรี 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 1 ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ก็แทบไม่มี “ความหมาย” ในทางการเมือง
การเรียกขานนายกรัฐมนตรีว่า “ตราไก่” ก็ดี ว่า “เจ๊หนอม” ก็ดี ล้วนดำเนินไปบนแนวทางแห่งการด้อยค่า ดิสเครดิต
ทำให้เป็น “ตัวตลก”
ไม่ว่านายกรัฐมนตรีคนใด มีราก ฐานมาจากการเป็น “ทหาร” หรือเป็น “นักการเมือง” เมื่อตกที่นั่ง
เช่นนี้เท่ากับเป็น “สัญญาณ”
เป็นสัญญาณแห่งการนับถอยหลังในทางการเมือง