ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
‘บิ๊กตู่’ชัดเจนไปต่อ‘รทสช.’
ฉันทามติผ่านผลเลือกตั้ง
ชี้วัดอนาคต 2 ขั้วการเมือง
เริ่มชัดเจนขึ้นเป็นลำดับในการเดินหน้าต่อทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศความชัดเจนเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2565 ว่า ยอมรับเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งหน้ากับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นั่งเป็นหัวหน้าพรรค รทสช. และ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นเลขาธิการพรรค จัดเตรียมความพร้อมทั้งโครงการพรรค ผู้สมัคร ส.ส. รอรับ พล.อ.ประยุทธ์เข้าพรรคอย่างเป็นทางการ
แม้ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าจะดูวันที่เหมาะสมในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค รทสช. โดยฤกษ์พานาที ที่เป็นมงคลตามที่แกนนำและคีย์แมนของพรรค เตรียมการต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค รทสช. ในเวลา 17.00 น. วันที่ 9 มกราคมนี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีนิทรรศการบอกเล่าความเป็นมาของพรรค รทสช. ขณะที่ไฮไลต์สำคัญ คือ การเปิดใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงเบื้องลึก เบื้องหลังในการตัดสินใจตอบรับเข้ามาร่วมงาน รับเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับบรรดาผู้สนับสนุนและผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค รทสช. ทั้งอดีต ส.ส. ผู้บริหารท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ พร้อมที่จะไปต่อกับ พล.อ.ประยุทธ์
ขณะที่การเปิดหน้าไปต่อในทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นเรื่องดีตามระบอบประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม โดยเฉพาะในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงก่อนกลางปี 2566 ที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดให้แต่ละพรรคต้องเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจำนวน 3 ชื่อ ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบก่อนการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยที่ชี้ขาดผลแพ้-ชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า นอกจากรายชื่อแคนดิเดตนายกฯของแต่ละพรรคแล้ว ยังมีเรื่องของนโยบายที่แต่ละพรรคจะนำเสนอผ่านการหาเสียงต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หลายพรรคพยายามชูนโยบายด้านเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องให้กับประชาชน อย่างพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดนโยบายชุดแรกมาเสนอต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งเรื่องค่าแรงวันละ 600 บาท และเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีเดือนละ 25,000 บาท ที่จะขับเคลื่อนให้เกิดผลสำเร็จภายในปี 2570 หรืออีก 4 ปีนับจากนี้
ส่วนพรรคอื่นๆ ย่อมจะทยอยเปิดตัวชุดนโยบายเศรษฐกิจเสนอต่อประชาชนในจังหวะเวลาที่เหมาะสม ส่วนนโยบายของพรรคใดจะนำเสนอแล้วให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นแปรเปลี่ยนมาเป็นคะแนนเสียงผ่านผลการเลือกตั้ง ย่อมอยู่ที่เทคนิค กลยุทธ์ในการหาเสียงที่แต่ละพรรคต้องกลับไปทำการบ้านกันเอง
ข้อดีของการเสนอตัวเข้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของ พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นเรื่องดีตามหลักสากล ด้วยการสมัครลงรับเลือกตั้งไม่ว่าจะแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ผ่านระบบการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ ให้พี่น้องประชาชนและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ตัดสินผ่านการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก ภายใต้กฎและกติกาที่ฟรีแอนด์แฟร์ต่อทุกฝ่าย ด้วยกระบวนการนำเสนอ ทั้งนโยบายและวิสัยทัศน์การเป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่ควรจะต้องขึ้นเวทีประชันความเป็นผู้นำกับแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองอื่นๆเพื่อให้ผลการเลือกตั้งออกมาเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ยิ่งการเลือกตั้งในปี 2566 ทุกฝ่ายมุ่งหวังจะให้เกิดความเปลี่ยนแปลงผ่านการเลือกตั้งที่เป็นธรรม เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย แม้จะมีการแข่งขันที่เข้มข้นของทั้งสองขั้ว มีเดิมพันสูงในทางการเมืองผ่านผลการเลือกตั้ง โดยขั้ว พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะตัวแทนของกลุ่มอนุรักษนิยม ตั้งเป้าในการกลับมาสานงานต่อผ่านการเป็นรัฐบาล
ส่วนขั้วของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่นำโดยพรรค พท. และพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่ห่างหายจากการทำหน้าที่่ฝ่ายบริหาร ก็มีเป้าหมายในการรวมเสียงหลังการเลือกตั้ง หวังเป็นรัฐบาลเช่นเดียวกัน
ฉันทามติผ่านการเลือกตั้งครั้งหน้า ในกระบวนการที่เกิดการยอมรับของทุกฝ่าย ตั้งแต่การจัดการเลือกตั้ง การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ตลอดจนการรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรแข่งขันกันภายใต้ระบอบเสรีประชาธิปไตย และเคารพฉันทามติของประชาชนที่จะมาออกเสียงสะท้อนผ่านผลการเลือกตั้ง
ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการบริหารประเทศอย่างสันติ และมีความชอบธรรม ไม่ว่าขั้วไหน พรรคใดจะแพ้หรือชนะ ก็ต้องยอมรับตามกระบวนการประชาธิปไตยที่จะให้ประชาชนและผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมกันตัดสินอนาคตกันทุก 4 ปี