พัฒนาการแห่ง “ความรู้สึก” ที่ว่า หากมีการเลือกตั้งไม่ว่าจะภายในเดือนกุมภาพันธ์ ไม่ว่าจะภายในเดือนพฤษภาคม 2562 พรรคเพื่อไทยจะได้ชัยชนะมาเป็นอันดับ 1
กำลังจะกลายเป็น “ความเชื่อ”
ลองนำเอาความเชื่อของนักการเมืองระดับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ระดับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน มาพิจารณาถึงความนัยระหว่างบรรทัด
ก็จะเข้าใจ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อาจจะพูดว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยได้ร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอนบนความมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล
ถามว่าเนื้อความที่หล่นหายไปคืออะไร
เนื้อความที่หล่นหายไปก็เช่นเดียวกับคำพูดของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นั่นก็คือ แม้พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทยจะได้เป็นรัฐบาล
แต่ในการเลือกตั้งจะสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้
ในฐานะที่พ่ายแพ้กับพรรคเพื่อไทยมาแล้วในสนามเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ย่อมรู้ดีอย่างที่สุด
และรู้ดีพอๆ กับพรรคภูมิใจไทย
รู้ดีเหมือนๆ กับที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร ออกมายอมรับว่า พรรคประชาธิปัตย์ใช้เงินในการเลือกตั้งมากกว่าพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำไป
รู้ดีเหมือนๆ กับที่พรรคภูมิใจไทยรู้สึก
นั่นก็คือ ตระหนักในความเป็นจริงของชาวบ้านที่กระซิบกระซาบกันอย่างอื้ออึงผ่านวลีที่ว่า “รับเงินหมา กาเพื่อไทย”
เหล่านี้อาจจะเป็นข้อมูล “เก่า”
แต่ข้อมูลเก่าจากการเลือกตั้งเดือนมกราคม 2544 จากการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2548 จากการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 และจากการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554 นี่แหละ
ที่ก่อ “ความรู้สึก” ซึ่งเชื่อว่าชัยชนะเป็นของ “เพื่อไทย”
ก็ไม่ใช่จากความรู้สึกอันกลายเป็นความเชื่อไปแล้วนี้หรอกหรือที่ทำให้จนแล้วจนรอด “คสช.” ไม่มีความกล้าในการ “ปลดล็อก” พรรคการเมือง
เพราะเท่ากับทำให้พรรคเพื่อไทยได้อานิสงส์ไปด้วย
ทั้งๆ ที่ “รัฐธรรมนูญ” ก็ยกร่างมากับมือ ทั้งๆ ที่ “กฎหมายลูก” ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ส. และว่าด้วยพรรคการเมืองก็ร่างมากับมือ
“กกต.” ก็ผ่านความเห็นชอบมากับมือ
ยิ่งกว่านั้น ยังเปิด “ไฟเขียว” ให้ “กลุ่มสามมิตร” ดำเนินปฏิบัติผ่าน “พลังดูด” เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มเปี่ยม
กระนั้น ก็ยังไม่สามารถกำหนด “วันเลือกตั้ง” ที่แน่นอนได้
เพราะตราบใดที่ยังไม่มั่นใจว่า แยกสลาย บั่นทอนกำลังพรรคเพื่อไทย และทำให้พรรคเพื่อไทยมิอาจรักษาความเป็นพรรคอันดับ 1 ต่อไปนั้น
ตราบนั้นยังไม่มีความแน่นอนในเรื่อง “เลือกตั้ง”
ระยะเวลา 4 ปีของการรัฐประหารตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 กระทั่งผ่านเดือนพฤษภาคม 2561 จึงยังไม่สร้างความมั่นใจอย่างเพียงพอ
ขณะที่ “ความรู้สึก” ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะได้กลายเป็น “ความเชื่อมั่น”
ขณะที่มีแนวโน้มและความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้นเป็นลำดับว่าพัฒนาการของ “ความรู้สึก” สู่ “ความเชื่อมั่น” จะดำรงอยู่ในลักษณะอันเป็น “ความคิด”
โดยเฉพาะใน “ความคิด” ของ “ประชาชน”