ทำไมการเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐ จึงสำคัญนักหนา โดย : โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

ผู้พิพากษาเบรตต์ คาวานอห์

อนุสนธิจากการที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งพรรครีพับลิกันได้เสนอชื่อผู้พิพากษา เบรตต์ คาวานอห์ อายุ 53 ปี ให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลฎีกาแห่งสหรัฐอเมริกาที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่ง และวุฒิสภาสหรัฐลงมติรับรองนายเบรตต์ คาวานอห์ ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลฎีกาสหรัฐ ด้วยคะแนนเสียงแยกตามพรรคการเมืองที่สังกัดอย่างชัดแจ้งโดยวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันมีมติรับรองด้วยคะแนนเสียง 50 เสียง และวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตมีมติไม่รับรอง 48 เสียง นับเป็นการรับรองตุลาการศาลฎีกาสหรัฐแบบเฉียดฉิวคือหวุดหวิดที่สุดในประวัติศาสตร์ ท่ามกลางการประท้วงอย่างหนักของชาวอเมริกันที่ไม่พอใจ (โดยเฉพาะสตรี) ในการรับรองนายคาวานอห์มีการชูป้ายต่อต้านนายคาวานอห์หน้าอาคารรัฐสภาที่กรุงวอชิงตัน โดยฝ่ายต่อต้านเห็นว่านายคาวานอห์ไม่มีความเหมาะสมกับการเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุด เนื่องจากเขาถูกกล่าวหาว่าเคยคุกคามทางเพศผู้หญิงอย่างน้อย 3 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ ดร.คริสติน บี.ฟอร์ด อาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งยืนยันว่าเหตุการณ์คุกคามทางเพศเกิดขึ้นในสมัยที่ทั้ง ดร.ฟอร์ดเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายกับนายเบรตต์ คาวานอห์ โดยนายคาวานอห์พยายามที่จะข่มขืนเธอในงานปาร์ตี้โดยร่วมมือกับเพื่อนนักเรียนชายอีกคนหนึ่งชื่อมาร์ค จัดจ์ แต่เธอสามารถหนีเอาตัวรอดออกจากบ้านหลังนั้นได้สำเร็จ

ดร.คริสติน บี.ฟอร์ด

สุภาพสตรีอีก 2 คนที่ออกมากล่าวหานายคาวานอห์ว่าเคยคุกคามทางเพศเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วแต่หลักฐานไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่ากับ ดร.ฟอร์ด แต่ในที่สุดวุฒิสภาก็ได้รับรองให้ผู้พิพากษาเบรตต์ คาวานอห์ ได้รับตำแหน่งตุลาการศาลฎีกาแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 114 นับตั้งแต่สถาปนาสหรัฐอเมริกาเป็นต้นมา

ครับ ! ทำไมการเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐ จึงสำคัญนักหนา ?

เพราะว่าศาลมีหน้าที่ตัดสินคดีที่ถูกฟ้องร้องตามกฎหมายโดยตัดสินว่าละเมิดกฎหมายหรือไม่ และตัดสินลงโทษผู้ละเมิดกฎหมายตามกฎหมายด้วย นอกจากนี้ ระบบกฎหมายของสหรัฐอเมริกาเป็นกฎหมายแบบจารีตประเพณี (common law) เหมือนกับระบบกฎหมายที่ใช้กันในประเทศต่างๆ เช่น อังกฤษ อเมริกา แคนาดา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งมีขนบให้ผู้พิพากษาสามารถสร้างกฎหมายขึ้นใหม่ (judges make laws) ได้อีกด้วย

Advertisement

เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นรัฐรวม (composite state) จึงมีระบบการศาล 2 ระบบ คือ

1) ศาลของมลรัฐซึ่งตัดสินคดีความต่างๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายของมลรัฐนั้นๆ โดยมลรัฐส่วนใหญ่จะมีการเลือกตั้งผู้พิพากษาให้ดำรงตำแหน่งตามระยะเวลา ส่วนใหญ่แล้วคดีความประมาณ 95% จะฟ้องร้องและตัดสินคดีกันในศาลของมลรัฐ

2) ศาลของสหรัฐ ซึ่งตัดสินคดีความภายใต้รัฐธรรมนูญของสหรัฐ กับสนธิสัญญาระหว่างประเทศ สำหรับศาลของสหรัฐนั้นแบ่งออกเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกาตามลำดับ โดยศาลฎีกาสหรัฐ ถือเป็นศาลสูงสุดของประเทศ ประกอบด้วยประธานศาลฎีกา 1 คน และตุลาการ (ผู้พิพากษา) อีก 8 คน (ที่นายเบรตต์ คาวานอห์ เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตุลาการนั่นแหละ) คำตัดสินโดยเสียงข้างมากของผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐถือเป็นสิ้นสุดไม่มีการอุทธรณ์อีกต่อไป

Advertisement

บรรดาผู้พิพากษาศาลสหรัฐ ทุกคนได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีโดยความเห็นชอบจากวุฒิสภา ผู้พิพากษาศาลสหรัฐนี้อยู่ในตำแหน่งตลอดชีวิต

การสิ้นสภาพผู้พิพากษาศาลสหรัฐก็ต่อเมื่อเสียชีวิต ลาออก หรือถูกอิมพีชเมนต์ (impeachment) แล้วถูกปลดจากผู้พิพากษาศาลสหรัฐ โดยวุฒิสภา

ดังนั้น ความเป็นอิสระของผู้พิพากษาของศาลสหรัฐจึงมีมากสามารถรักษาความยุติธรรมได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกลัวจะเสียตำแหน่งหน้าที่การงาน ศาลสหรัฐทำหน้าที่คานอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้เป็นอย่างดี เพราะหากศาลฎีกาสหรัฐ ตัดสินว่ากฎหมายที่ผ่านโดยฝ่ายนิติบัญญัติและประธานาธิบดีลงนามแล้วนั้นขัดกับรัฐธรรมนูญสหรัฐก็ถือว่ากฎหมายฉบับนั้นใช้บังคับไม่ได้ทันที ดังนั้น ฝ่ายตุลาการจึงมีบทบาทสำคัญที่จะป้องกันไม่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารฮั้วกัน (สมยอม) จนมีและใช้อำนาจมากจนเกินไป

ประการสำคัญอีกประการหนึ่งจากการตัดสินของศาลสหรัฐโดยเฉพาะศาลฎีกาสหรัฐ ก็ถือว่าเป็นกฎหมายเช่นกัน ซึ่งเราเรียกกฎหมายชนิดว่า “กฎหมายของผู้พิพากษา (judges make laws) ที่ทำให้การเลือกคนที่จะมาเป็นผู้พิพากษาศาลสหรัฐ โดยเฉพาะศาลฎีกาสหรัฐ ในครั้งนี้จึงมีดราม่ามากมายเลยทีเดียว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image