เหยี่ยวถลาลม : ประเทศของเรา

86 ปีหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองถึงวันนี้ประเทศเรามีนายกรัฐมนตรี 29 คน แต่เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจาก “รัฐประหาร” 12 คน หรือจำนวนกว่า 1 ใน 3

ในด้านเวลา…นายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหารนั่งบริหารประเทศรวมกันเกินกว่า 50 ปี

จึงไม่เห็นจะต้องแหลแถไถหรือเอาสีข้างเข้าถูอวดอ้างความมั่นคงของชาติอันใด เพราะเป็นที่ประจักษ์ตามประวัติศาสตร์ว่า การปกครองของประเทศเราอยู่ภายใต้ “ระบอบทหาร” กว่าครึ่งศตวรรษ

พลเรือนไม่มีปืนต้องถอยไป !

Advertisement

ประเทศของเราชุกชุมด้วย “รัฐประหาร” มากเกินไปจนมีผู้คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า “ความมั่นคงแห่งชาติ” เป็นจารีต ส่วน “อิสรภาพเสรีภาพ” เป็นภัยคุกคาม

มีเพียงบางช่วงของประวัติศาสตร์การเมืองที่ “กองทัพ” ถูกสั่นคลอนด้วยกองกำลังประชาชนที่จัดตั้งขึ้นมาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งนั่นนำไปสู่การสรุป “บทเรียน” ปรับทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีการต่อสู้

ถ้าท่านทั้งหลายได้อ่านเนื้อเพลง “ประเทศกูมี” กันแล้วก็น่าจะเห็นว่า เนื้อร้องสะท้อนเพียง “บางภาพ” ในประวัติศาสตร์

Advertisement

…ใจกลางกรุงกลายเป็นทุ่งสังหาร, นาฬิกา “รมต.” เป็นของศพ, สภาเป็นห้องนั่งเล่นของนักรบ, ปลายกระบอกคอยจ่อปลายกระเดือก, จะต้องเลือก อมความจริง หรืออมกระสุน

ประเทศที่…รัฐบาลไม่มีใครกล้าลบหลู่, มีกฎหมายไว้ให้ตำรวจข่มขู่, คนไม่อ่านหนังสือโดยเฉพาะผู้นำ, บอกให้อยู่เฉยๆ ถ้าไม่อยากนอนเรือนจำ, คนมียศทุจริตแค่ไหนก็รอดทั้งวัน, มีกฎหมายแต่ใช้ปืนกลล้มหน้ากระดาน, คนยังสุขสำราญ ฯลฯ

เป็นงานศิลป์ที่สะท้อนภาพประวัติศาสตร์พร้อมตัดพ้อต่อว่า ที่ “อำนาจรัฐ” ใช้ความรุนแรง หรือพรากสิทธิเสรีภาพจากผู้คนไป ประเทศจึงถูกเปรียบเป็นร่างมาร มีรัฐประหารลั่นปืนใส่ผู้ชุมนุม เสกกฎหมายให้กลายเป็นข้ออ้าง ใส่สัญญาหลอกๆ เป็นกระสุนลงกระบอก สร้างระบอบหลอก บอกให้รักมัน

จะว่าไปแล้ว “การเลือกมอง” เพียงบางมุมของเพลงหนึ่งๆ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะ “งานศิลป์” ทุกแขนงทุกประเภทไม่ใช่งานค้นคว้าวิจัย นอกจากนั้นเพลงนี้ก็ไม่ได้ชักชวนให้ผู้คน “ใช้ความรุนแรง” ด้วยการปิดถนน ปิดสถานราชการ ปิดสนามบิน หรือปิดเมืองหลวง

เพียงแค่ชวนให้ทุกคน “ชูนิ้วกลาง”

ต่างกับยุคลุกขึ้นสู้เผด็จการทหารสมัยก่อน !?!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image