ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
กรณี “ประเทศกูมี” สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนด้อย เพลี่ยงพล้ำ
และความเป็นรองของรัฐบาล และ คสช. ในโลกโซเชียลอย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
จากเพลงแร็พที่กระจายกันอยู่เฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มคนที่มีรสนิยมคล้ายคลึงกัน
ระดับ “หลักแสน”
พลันที่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกรัฐบาลคนใหม่ ออกมาตั้งข้อสังเกตว่าเพลงนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังทางการเมืองในเย็นวันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม
และ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมารับลูกต่อในวันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม ด้วยการ “เตือน” ว่าทั้งคนร้องและคนเผยแพร่เพลงดังกล่าวอาจจะมีความผิด
ในข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง
ติดตามมาด้วย “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาการผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นายตำรวจที่มีผลงานการจับกุมมากที่สุดในยุคปัจจุบัน
ออกมาสำทับว่าอาจจะต้องดำเนินการทางกฎหมายกับคนสองกลุ่มดังกล่าว
จำนวนผู้เข้าไปรับชมมิวสิกวิดีโอก็กระโดดจากหลักแสนผ่านหลัก 10 ล้านในช่วงระยะเวลาเพียง 1 วัน
และใช้เวลาอีก 1 วัน กระโดดจากหลัก 10 ล้านผ่านไปถึง 20 ล้าน
ชนิดที่รัฐบาล หรือผู้ประกาศว่าจะจับกุมได้แต่ทำตาปริบๆ
ต่อเมื่อทั้ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ และ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ทยอยกันออกมาให้สัมภาษณ์ในเช้าวันจันทร์ที่ 29 ตุลาคมว่า
สามารถรับฟังและเผยแพร่เพลงนี้ได้ตามปกตินั่นดอก
กระแสความร้อนแรงจึงค่อยทุเลาลง
จากระดับผู้ติดตาม 2 วัน 20 ล้าน
ลงมาเหลือ 2 วัน 3.5 ล้าน
แต่ถึงจะเรียกว่า “ช้าลง” แล้ว
เมื่อเทียบกับการรับชมผลงานหรือเนื้อหาสาระที่ฝ่ายรัฐบาลนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นเพจประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือเว็บไซต์-เครื่องมือดิจิทัลอื่นๆ
ก็ยังถือว่ามากกว่ากันหลายสิบหรือหลายร้อยเท่า
เป็นอีกครั้งที่สะท้อนให้เห็น “จุดอ่อนด้อย” ของรัฐบาลในโลกไซเบอร์
เป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปจะมาถึงในไม่ช้า
ความพยายามในการเปิดเว็บไซต์ เพจ อินสตาแกรม ไปจนกระทั่งถึงทวิตเตอร์ของนายกรัฐมนตรี
เพื่อจะให้ครอบคลุมทุก “แพล็ตฟอร์ม” ของโลกดิจิทัลก็ดี
ความพยายามในการ “ปรับภาพ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ “ซอฟต์” ลง มีมุมอื่นนอกจากความขึงขังเด็ดขาด
แม้กระทั่งสวมชุดเต็มยศไปโล้ชิงช้าชาวเขาก็ดี
จะสามารถเรียกคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง
หรืออย่างน้อยก็คือเรียกคะแนนนิยมในโลกไซเบอร์ให้เพิ่มขึ้นมาได้หรือไม่
ยังต้องอาศัยเวลาอีกระยะในการประเมิน
แต่ข้อเท็จจริงที่ว่า เพลงวิพากษ์วิจารณ์สังคมได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในโลกดิจิทัล เมื่อรัฐบาล-คนของรัฐแสดงปฏิกิริยาในทางลบต่อเรื่องดังกล่าวก็ดี
ไปจนกระทั่งถึงการที่ทีมงานของนายกรัฐมนตรี พยายามอย่างเต็มที่ในการรุกเข้าสู่เวทีโลกเสมือนก็ดี
ชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่ามีจุดอ่อนช่องว่างในพื้นที่นี้อยู่จริง
และรัฐบาลพยายามเข้ามากอบกู้แก้ไขจุดอ่อนช่องว่างนี้อยู่จริง
ส่วนความพยายามนี้จะทันท่วงที หรือจะมีผลต่อการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอีกไม่นานนี้หรือไม่
ประเด็นอาจไม่ได้อยู่เพียงแค่การรักเข้าสู่พื้นที่ที่เป็นรอง หรือการปรับภาพพจน์เท่านั้น
แต่ยังอยู่ที่การประเมินสถานการณ์และความเป็นจริงของ 4 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย
ว่าอะไรคือด้านลบและอะไรเป็นด้านบวก
ยังอยู่ที่เนื้องานทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ
ที่ประชาชนทั่วไปรับรู้อยู่ด้วยประสบการณ์ตรง ว่าที่รัฐบาลทำมานั้นเป็นคุณหรือเป็นโทษกับตนเอง
ปฏิกิริยาในโลกดิจิทัลนั้นเสมอเป็นเพียงช่องทาง เป็นเรื่องรอง
เนื้องานและการประเมินผลงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่หลอกตัวเอง ไม่เอาใจผู้มีอำนาจต่างหาก
ที่เป็นเรื่องจริง
ที่เป็นตัวชี้ขาด