เดินหน้าชน : คิกออฟ‘ปราบยา’

ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ประกอบด้วย อ.จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ที่อยู่ในพื้นที่ภัยความมั่นคงเกี่ยวกับเหตุความไม่สงบ มีการสรุปรายงานมาจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ามาตลอดว่า เหตุการณ์ความไม่สงบนั้นบรรเทาลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นความร่วมมือของภาครัฐบาล เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และประชาชนที่ช่วยกันอย่างเต็มที่

แต่ในขณะเดียวกันภัยของยาเสพติดที่เกาะกินตัวลุกลามเข้าสู่ลูกหลานของพี่น้องประชาชนในชายแดนใต้นั้นก็เป็นที่น่าตระหนกและมีข้อร้องเรียนจากบรรดาพ่อแม่ที่มีมาถึงกองทัพภาคที่ 4 เช่นเดียวกัน

พลโท พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 เล่าให้ฟังว่า การเดินทางไปปฏิบัติภารกิจหลายแห่ง สิ่งที่ประชาชนมักจะบ่นถึงและอยากให้ทางการเข้ามาช่วยคือหวั่นว่าลูกหลานจะตกเป็นทาสของยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า ใบกระท่อม กัญชา หรือมาในรูปของเหลวผสมยาแก้ไอต่างๆ ประกอบกับฐานะยากจนกันเป็นส่วนใหญ่     เมื่อคนติดยาบ้าไม่มีเงินเสพ ก็จะใช้วิธีการทำผิดกฎหมายแทนเพื่อให้ได้เงินนั้นมานำไปซื้อยาเสพกันต่อ     ที่น่าหวาดหวั่นคือการตัดสินใจที่จะยอมให้ถูกชักจูงหรือรับจ้างไปกระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ กลายเป็นวงจรอุบาทว์ทำลายสถาบันครอบครัว ทำลายประเทศชาติ

ดังนั้น ปฏิบัติการ Kick Off การแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามนโยบายแม่ทัพภาคที่ 4 จึงเกิดขึ้น โดยในระยะเร่งด่วน 3 เดือนแรก เสริมไปกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครอง ต้องเร่งจับกุมให้มากที่สุด นับตั้งแต่เดือน พ.ย. ธ.ค.61 ไปจนถึง ม.ค.62 เพราะยิ่งช้าภัยยิ่งใหญ่ขึ้นตามลำดับ

Advertisement

การตั้งด่านสกัดจับยาเสพติดในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ที่รู้กันอย่างดีว่ายาเสพติดจะขนถ่ายกันมาจากภาคเหนือ ส่วนที่ถูกจับบริเวณชายแดนทางเหนือก็มีมาก แต่ที่ยังเล็ดรอดหลบเลี่ยงการตรวจจับหรือการจับกุมได้จะไหลมาที่ภาคใต้ การไล่จับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นอกจากจะตั้งด่านสกัด ยังมีการรับแจ้งเบาะแสผ่านตู้ ปณ.41 อ.เมือง จ.ยะลา ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่มีประชาชนจะแจ้งข้อมูลภัยยาเสพติดใกล้ตัวหรือใกล้บ้านเข้ามา

ล่าสุดมีผลปฏิบัติการในห้วงวันที่ 1 พ.ย-13 ธ.ค.2561 ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และพื้นที่ 4 อำเภอของสงขลา ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมาย ด้วยระยะเวลาเพียงเดือนเศษ สามารถดำเนินคดีผู้ค้ารายใหญ่แล้ว 92 คน ส่วนผู้ค้ารายย่อย ดำเนินคดีแล้ว 887 คน และรวมผู้เสพ 3,302 คน

ส่วนของกลางยาเสพติดนั้น เป็นยาบ้ากว่า 8 แสนเม็ด ตามด้วยกัญชาร่วม 18 กก. และพืชกระท่อม ทั้งในส่วนของใบ/กาก 4,600 กก. เป็นน้ำเกือบ 3 ล้านลิตร ยาไอซ์เกือบ 14 กก. ยาแก้ไอประมาณ 1 พันขวด รวม 6800 ซีซี เฮโรอีน เกือบ 20 กก. และยาอี 114 เม็ด

Advertisement

น่าสนใจที่มีการนำตัวผู้กระทำผิดในที่เกิดเหตุเข้ารายงานตัวสู่กระบวนการคัดกรองจำนวน 5,172 คน     แยกนำไปบำบัดฟื้นฟู 2,775 คน

ล่าสุด เมื่อ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตชด.ที่ 42 จ.นครศรีธรรมราช พร้อมเจ้าหน้าที่ทหารศูนย์ฝึกพิเศษสิชล สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติดภาค 9 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดพัทลุง และเจ้าหน้าที่ชุดสุนัขดมกลิ่น ค่ายอโณทัย จ.ปัตตานี เข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.ชะรัด อ.กงหรา จ.พัทลุง        พบยาบ้ากว่า 1.2 ล้านเม็ด และยาไอซ์อีก 30 กก.

แม่ทัพภาคที่ 4 ที่รับรู้ข้อมูลมาตั้งแต่ต้นและเมื่อเจ้าหน้าที่วางแผนจับกุมได้ จึงรีบเดินทางไปดูถึงที่เกิดเหตุ ระบุว่า เป็นยาบ้าล็อตใหญ่ที่สุดในพื้นที่ จ.พัทลุง จึงมีการสั่งเน้นย้ำเจ้าหน้าที่ทุกส่วนให้เพิ่มความระมัดระวังในการดูแล เข้มงวดทั้งจุดตรวจจุดสกัด เพื่อจำกัดพื้นที่ของกลุ่มค้ายาเสพติด รวมไปถึงกลุ่มผู้มีอิทธิพล อาวุธสงคราม และสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ ตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมทั้งกำหนดโทษหนักแก่เจ้าหน้าที่รัฐที่ไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายอย่างจริงจัง

วันนี้หากเร่งกันปราบปรามยาเสพติด ก็ยิ่งลดการแพร่ขยาย ตัดวงจรอันเลวร้ายออกไปให้มากที่สุด เท่ากับทำให้แผ่นดินด้ามขวานน่าอยู่มากยิ่งขึ้น ท่ามกลาง “สันติสุข” ที่กำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในเร็ววันนี้

เสกสรรค์ กิตติทวีสิน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image