ปัญหา ภายใน เพื่อไทย อนาคตใหม่ ปัญหา การเมือง

หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก่อนการตั้งพรรคความหวังใหม่ หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของ นายทักษิณ ชินวัตร ก่อนการตั้งพรรคไทยรักไทย

สถานการณ์ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือว่า “จิ๊บจ๊อย”

จำได้หรือไม่ว่าก่อนการตั้งพรรคความหวังใหม่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ก็แยกตัวออกมาเมื่อไม่ได้ตำแหน่งเลขาธิการ

เนื่องจากตำแหน่งนี้ตกเป็นของ นายพิศาล มูลศาสตรสาทร

Advertisement

จำได้หรือไม่ว่าก่อนการตั้งพรรคไทยรักไทย นายคณิต ณ นคร และ นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ก็แยกตัวออกมาเมื่อมีข่าวว่ามีการติดต่อ นายเสนาะ เทียนทอง

นั่นย่อมเป็นการแยก แตกตัว ที่ดังอย่างยิ่งเมื่อปี 2541

การที่มีความแตกแยก และก่อให้เกิดการแยกตัวของผู้ที่ผิดหวังไม่ได้รับการพิจารณาเข้าไปอยู่ในระบบการหยั่งเสียงผ่านระบบไพรมารีโหวตจึงเป็นเรื่องเล็กอย่างยิ่ง

คำถามก็คือ ทำไมจึงกลายเป็น “ข่าวใหญ่”

การประโคมโหมข่าวอันเกี่ยวกับความขัดแย้ง แตกแยกภายในพรรคอนาคตใหม่ ก็ดำเนินไปเช่นเดียวกับการประโคมโหมข่าวอันเกี่ยวกับความขัดแย้ง แตกแยกภายในพรรคเพื่อไทย

เริ่มจากคำถามที่ว่า ใครจะเป็นหัวหน้าพรรค

ตามมาด้วยการปล่อยตัวละครซึ่งอยู่ในแวดวงของ “ชินวัตร” ไม่ว่าจะเป็นลูก ไม่ว่าจะเป็นลูกเขย ไม่ว่าจะเป็นหลาน

แต่ในที่สุดเมื่อเป็น พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ทุกอย่างก็เงียบ

เหตุผลก็เพราะว่าพรรคอนาคตใหม่ถูกกวาดไปรวมเป็นไฟลั่มเดียวกันกับพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยรักษาชาติ พรรคเพื่อชาติ

จึงกลายเป็น “เป้า” อีกเป้าหนึ่งในทางการเมือง

แม้จะเป็นเรื่องเล็กอย่างยิ่ง เกิดขึ้นเพียงไม่กี่แห่งเมื่อเปรียบเทียบกับขอบเขต 77 จังหวัดทั่วประเทศแต่ก็กลายเป็นเรื่องอึกทึก ครึกโครม

อนาคต “ใหม่” ก็พลันกลายเป็นอนาคต “หมด”

หากถามว่าพรรคอนาคตใหม่จะซวดเซ เสื่อมทรุดและพังทลายหรือไม่ ก็ต้องถามกลับว่าพรรคเพื่อไทยซวดเซ เสื่อมทรุดและพังทลายหรือไม่

ตรงกันข้าม พรรคเพื่อไทยก็ยังเป็นพรรคอันดับ 1

ไม่ว่าขบวนนำของพรรคจะเป็น พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ จะเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

ยากเป็นอย่างยิ่งที่ “พลังประชารัฐ” จะเอาชนะได้

กล่าวสำหรับพรรคอนาคตใหม่ สถานการณ์อันเกิดเนื่องแต่ “ไพรมารี โหวต” ถือเป็นหินลองทองอันคมแหลม

ในเมื่อเป้าหมายคือการจัดตั้งพรรคในลักษณะ “มวลชน” ความเห็นต่างอันปะทุจากโครงสร้างและกระบวนการหยั่งเสียง คัดสรร เพื่อคัดเอาบุคคลที่เหมาะสมที่สุดของแต่ละพื้นที่จึงเป็นเรื่องธรรมดาอย่างปกติยิ่งในทางการเมือง

แทนที่จะอ่อนปวกเปียก ตรงกันข้าม กลับจะยิ่งแข็งแกร่ง

จึงถูกต้องแล้วที่ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่ จะนิ่งสงบอยู่ในที่ตั้ง ไม่ออกมาตอบโต้ อาศัยการทำงานของตนเป็นเครื่องประกาศ

มีพรรคการเมืองใด ไม่มีความขัดแย้งบ้าง

ยิ่งเป็นพรรคอันรวมคนรุ่นใหม่ที่มากด้วยความคิด ความต้องการทางการเมืองมารวมอยู่ในแหล่งเดียวกัน การกระทบกระทั่งในความคิด ความต้องการจึงเป็นธรรมชาติ

พัฒนาการของสังคมก็มาจาก “ความขัดแย้ง” มิใช่หรือ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image