ถูกปลอมไลน์ยืมเงิน

ผมอ่านข่าวมติชนวันที่ 27 มกราคม 2562 คอลัมน์การศึกษา เรื่องที่มีคนใช้ชื่อ “ศ.ดร.เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ” (หมายถึงตัวผม) ไลน์ไปยืมเงินคนจำนวนมากไม่กี่พัน ผมต้องขอบคุณ “มติชน” ที่นำเสนอข่าวนี้และตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า “ผมถูกแฮกไลน์” ผมจึงอยากนำเสนอข้อมูลสะท้อนปัญหาการใช้ไลน์ซึ่งเป็นตัวแทนของความสมัยใหม่ กับปัญหาตำรวจไทยซึ่งเป็นโลกสมัยเก่า และเป็นอุทาหรณ์สำหรับเราทั้งหลายที่อยู่ในโลกสุกๆ ดิบๆ ในเวลานี้

เรื่องมีอยู่ว่าผมเอามือถือเดิมไปคืนบริษัทเมื่อเดือนสิงหาคม 2561 แล้วขอเปลี่ยนเป็นเบอร์ใหม่ ด้วยเหตุผลส่วนตัวผมคิดว่าเมื่อผมคืนโทรศัพท์แล้วข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับผมในโทรศัพท์จะถูกลบไป ไม่ได้เฉลียวใจเป็นอย่างอื่น แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น พอต้นเดือนธันวาคม 2561 มีคนเอาโทรศัพท์เบอร์เก่าผมไปใช้ แล้วเอาไปสมัครไลน์ ขอเรียกคนนี้ว่า “คนร้าย” ก็แล้วกัน ผมเดาเองว่า ข้อมูลการติดต่อไลน์ของผมกับคนรู้จักคงเด้งขึ้น คนร้ายเลยสวมรอยเป็นผม ขอยืมเงินคนอื่นนับได้ 40-50 ราย อ้างว่า เงินขาดมือ หรือจะซื้อของไปทำบุญ คนร้ายขอยืมไม่มาก รายละห้าพัน และให้ดอกเบี้ยด้วยห้าร้อย-เจ็ดร้อย มีผู้ใหญ่หลงเชื่ออยู่บ้าง และโอนเงินให้คนร้ายไป

ผมตกใจมาก ผมทำงานมาร่วมสี่สิบปี ถึงไม่มีฐานะอะไร แต่ก็ไม่ได้ลำบากถึงขั้นต้องเที่ยวขอยืมเงินใครต่อใครมั่วไปหมด ขั้นแรก ผมรีบไลน์แจ้งคนที่อยู่ในลิสต์ของผมว่าอย่าหลงเชื่อคนร้ายแอบอ้างผมไปยืมเงิน และส่งข้อความนี้ซ้ำไปซ้ำมา 4-5 ครั้ง ขั้นที่สอง ในเดือนธันวาคม 2561 ผมรีบไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจที่บ้านต่างจังหวัด ตำรวจรับแจ้งความไว้ (ผมไปรอพนักงานสอบสวนตอนเที่ยง กว่าจะสอบคำให้การเสร็จเกือบสองทุ่ม) พนักงานสอบสวนบอกว่าเป็นคดีคอมพิวเตอร์ จะรวบรวมส่งกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท.ที่ศูนย์ราชการ กรุงเทพฯ

แต่ต่อมาคนร้ายยังเขียนข้อความไปยืมเงินคนอื่นอีกร่วมเดือน ผมไปติดต่อสาขาของบริษัทโทรศัพท์ที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง เพื่อขอให้ระงับความเสียหาย สาขาย่อยของบริษัทแห่งนี้ให้เบอร์โทรฝ่ายกฎหมายมา บอกให้ผมติดต่อได้ที่ฝ่ายกฎหมายเท่านั้น ผมโทรเท่าไหร่ไม่มีคนรับสาย จนระอาไปเอง อีกทางหนึ่ง ผมยังแจ้งบริษัทที่เป็นเจ้าของสิทธิไลน์ บริษัทให้ตอบแบบสอบถามสองครั้ง ผมกรอกอย่างดิบดี แต่ก็เงียบหายไปเหมือนกัน

Advertisement

พอเดือนมกราคม 2562 คนร้ายอาละวาดหนักกว่าเดิม ทักไลน์ไปขอยืมเงิน โดยใช้วิธีส่งข้อความเดียวกันทีหนึ่งเป็นสิบคน เพื่อนได้รับไลน์แจ้งผมมา ผมทนไม่ได้จึงเดินทางมากรุงเทพฯ ไปหาร้อยเวร ปอท.ที่ศูนย์ราชการ ร้อยเวรตรวจดูเอกสารสักพัก ตอบว่า “รับไว้ไม่ได้” โดยอ้างว่าผมเป็นผู้เสียหายคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา แต่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์แก้ใหม่ ปี 2560 ตัดฐานความผิดนี้ออกไปแล้ว รายละเอียดปรากฏตาม ม.14 (1) ส่วนความผิดฐานปลอมเป็นผู้อื่น ตาม ม.16 ก็ไม่เข้าอีก เพราะการใช้ไลน์เป็นการติดต่อส่วนบุคคล ไม่เข้าองค์ประกอบที่ว่า “ที่ประชาชนเข้าถึงได้” ร้อยเวร ปอท.แนะนำว่าผมต้องกลับไปแจ้งความหมิ่นประมาทที่ภูมิลำเนาเดิมที่ผมเคยแจ้งความไว้ตอนแรก (มิหนำซ้ำ มัดมือผมชก ร้อยเวรเขียนเองเสร็จสรรพว่าผมประสงค์ที่จะกลับไปแจ้งความภูมิลำเนาเดิม เพื่อกันตัวเอง) ต่อมา อีกอาทิตย์หนึ่งผมกลับไปสถานีตำรวจต่างจังหวัด พนักงานสอบสวนที่บ้านคนเดิม กลับอธิบายว่า คดีผมไม่เข้าหมิ่นประมาท เพราะการไลน์ไปขอยืมเงินคนอื่น แม้จะแอบอ้างเป็นผม ก็ยังไม่ใช่การ “ใส่ความ” ที่เป็นองค์ประกอบของการหมิ่นประมาท ท่านสรุปว่าขณะนี้ผมยังไม่ใช่ผู้เสียหายอะไร พนักงานสอบสวนที่ภูมิลำเนาผมนี้ แนะนำว่า ผมควรเดินทางไปหาพนักงานสอบสวนที่มีผู้เสียหายที่หลงโอนเงินให้คนร้าย เพื่อไปเป็นพยานและจะได้ดำเนินการข้อหาฉ้อโกงกับคนร้ายได้

ผมก็สู้สุดใจ เข้ากรุงเทพฯ ใหม่อีก คราวนี้ไปหาพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจที่มีผู้เสียหายโอนเงินให้คนร้าย ซึ่งได้หลักฐานมาว่ามีเลขบัญชีคนร้าย และมีรูปคนร้ายมาเบิกเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร เนื่องจากธนาคารในอีสานอีกจังหวัดหนึ่งถ่ายภาพคนร้ายโดยกล้องวงจรปิดไว้ได้ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจที่มีผู้เสียหายดังกล่าวบอกว่ายังอยู่ในขั้นตอนที่ตำรวจมีหมายเรียกให้ธนาคารตอบเอกสารกลับ ถ้าธนาคารตอบกลับเมื่อไหร่ถึงจะได้เรียกผู้เสียหายและผมไปให้การได้ ขอให้ผู้เสียหายและตัวผมกลับไปก่อน

แต่เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมเดินทางไปหาศูนย์ COPTICS/TACTICS ที่ กสทช. ซึ่งอ้างว่ามีผลงานเลื่องชื่อในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่ตำรวจก็เหมือนเดิม คือ ขอรับเรื่องไว้ โดยต้องรอผู้ใหญ่ก่อนว่าจะทำอย่างไร (ต้องเข้าใจเขาด้วย เพราะบ้านเรามี “ผู้ใหญ่” เยอะมาก)

Advertisement

สรุปว่าเวลาเดินไปเรื่อยๆ คนร้ายก็เอาชื่อผม รูปภาพของผมไปเขียนไลน์ขอยืมเงินคนอื่นไปเรื่อยๆ ซึ่งผมเองทราบจากเพื่อนที่เป็นผู้ใหญ่ (ผมก็มีผู้ใหญ่เหมือนกัน) ว่า เขาก็ถูกคนร้ายปลอมไลน์ แต่ผู้ใหญ่ของผมท่านนี้ก็จนด้วยเกล้าเหมือนกัน

เรื่องของผมจึงเป็นอุทาหรณ์แก่สังคมไทย (นอกจากเป็นสังคมที่มี “ผู้ใหญ่” เยอะ) ในข้อแรกว่า พนักงานสอบสวนของประเทศไทยมีงานล้นมือ เนื่องจากอัตรากำลังไม่พอ ตำรวจ ปอท.ถึงกับระบุว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีนโยบายว่า ถ้ามีคดีแบบผม ให้กลับไปโรงพักก่อน แล้วให้โรงพักรวบรวมทำสำนวนขึ้นมา ตำรวจท่านหนึ่งพูดกับผมว่า นี่ยังไงที่ถึงต้องปฏิรูปตำรวจ มีผู้เสียหายมากมายมาหาตำรวจ แต่ดูสิตำรวจแทบคลายทุกข์ให้ไม่ได้เลย พนักงานสอบสวนที่บ้านผมก็รับว่าเขามีปัญหานี้ เขาชี้ไปที่กองกระดาษสุมอยู่กลางห้องหลายสิบมัด พร้อมพูดกับผมว่า “นี่ยังไงสำนวนที่ค้างอยู่” (แถมยังแอบกระซิบผมว่าพนักงานสอบสวนต่ำต้อยกว่าตำรวจสายอื่น เพราะอะไรท่านก็รู้ดีอยู่ หึหึ..เขาพูดอย่างนั้น)

ข้อสอง คือ อาชญากรรมทางเทคโนโลยีล้ำหน้าไปมาก ไม่แน่ว่าฐานของการก่ออาชญากรรมทำนองนี้จะอยู่ในประเทศหรือไม่ด้วยซ้ำ แต่ตำรวจที่เก่งด้านเทคโนโลยีของไทยน่าจะยังไม่มี อย่างน้อยผมยังเห็นพนักงานสอบสวนใช้นิ้วจิ้มแป้นพิมพ์ดีดทีละตัว ไม่ต่างจากสี่ห้าสิบปีก่อน ใช้เวลาเปิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ร่วมสองชั่วโมง แล้วหามาตราที่เป็นฐานความผิดไม่เจอ ส่วนลายมือในบันทึกประจำวัน ก็เหมือนลาย ต.เหมือนเดิม

ข้อที่สาม คือ การปัดภาระโยนกลองของตำรวจแต่ละหน่วยยังไม่ต่างจากสี่ห้าสิบปีก่อนเช่นกัน ตำรวจใหญ่ของประเทศคุยว่าระบบตำรวจสมัยใหม่จะเป็น one-stop service ก็คงจะเป็นราคาคุยไปอีกหลายชั่วอายุคน

ข้อสี่ คือ การทำธุรกิจกับความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัทโทรศัพท์ที่อยู่ในประเทศไทยสนใจจะขายเครื่องหรือขายเบอร์ มากกว่าข้อร้องเรียนของผู้เดือดร้อน ขณะที่บริษัทเจ้าของสิทธิไลน์ ยิ่งให้ความเคารพต่อสิทธิของผู้ถูกละเมิดสิทธิน้อยกว่าสิทธิของคนร้าย ศูนย์รับเรื่องบริการไลน์แจ้งอย่างเดียวว่าเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องระมัดระวังและรวบรวมพยานหลักฐานไปดำเนินคดีเอง

ปัญหาของผมเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ แต่แสดงให้เห็นชัดถึงการตามกันไม่ทันระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับความเจริญก้าวหน้าของกิจการตำรวจไทย ขณะเดียวกันยังสะท้อนถึงระบบการปกป้องสิทธิของประชาชนที่ต่ำต้อยด้อยค่าในสังคมไทย เนื่องจากธุรกิจมือถือใช้เงินเป็นแสนล้านในการซื้อสิทธิกับต้องทุ่มเงินโฆษณาเป็นร้อยล้านพันล้าน แต่สิทธิของประชาชนกลับหาราคาค่างวดอะไรไม่ได้

เหตุการณ์ครั้งนี้แม้ทำให้ผมเสียชื่อ แต่โชคดีที่เพื่อนๆ เข้าใจ และต้องขอบคุณสื่อที่ให้โอกาสผมได้ชี้แจง แต่ความหวังของการปฏิรูปตำรวจไทยนี่สิ ทำท่าจะเลือนหายไปกับข่าวเลือกตั้งอีกแล้ว!!!

เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image