ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ถึงอนาคตจะยังมาไม่ถึง
แต่อนาคตบางประการนั้นไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย
โดยเฉพาะกรณีชะตากรรมของพรรคไทยรักษาชาติ
ผู้ต้องคดีอันมีโทษถึงยุบพรรค
27 กุมภาพันธ์
จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อมีคำสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.)
ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 กรณีเสนอชื่อผู้จะเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดยเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าว เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น
รายงานแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญนำคำสั่งจากที่ประชุมศาลรัฐธรรรมนูญมาแจ้งต่อพรรคไทยรักษาชาติ ว่า
ให้พรรคไทยรักษาชาติเดินทางมาฟังคำวินิจฉัยกรณีคดียุบพรรคในวันที่ 7 มีนาคม เวลา 15.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ
ทั้งนี้ ถ้าคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายแล้วแต่กรณีทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มา ศาลรัฐธรรมนูญจะบันทึกไว้ แล้วให้ถือว่าคำวินิจฉัยนั้นได้อ่านโดยชอบ
ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 76 วรรค 2
ที่ระบุว่าอนาคตแม้เป็นสิ่งไม่แน่นอน
แต่บางกรณีก็สามารถ “หยั่งรู้” ได้ โดยไม่ต้องเป็นโหราจารย์หรือหมอดูชื่อดังสำนักไหน
โดยเฉพาะในกรณีนี้ก็คือ
กระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม
ตั้งแต่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติได้เลย
โดยมิพักต้องรอฟังคำชี้แจงจากฝ่ายที่ถูกกล่าวหาก่อน
ด้วยการระบุว่ามี “หลักฐาน” อยู่ในมือครบถ้วนเพียงพอแล้ว
ติดตามมาด้วยความสามารถในการวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญ
ที่ถือว่าหลักฐานจากคำฟ้องจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ และคำแถลงเบื้องต้นจากฝ่ายผู้ถูกกล่าวหานั้นพอเพียงแล้วสำหรับการตัดสิน
โดยไม่ต้องรับฟังการสืบพยานจากฝ่ายไหน
แม้จะเทียบเคียงได้กับคดีอาญาที่มีโทษระดับประหารชีวิต ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการสอบสวนและสืบพยานมากมาย
แต่ด้วย “ฌาน” อันแก่กล้า คดีที่ว่ายุ่งยากซับซ้อนก็กลายเป็นเรื่องง่าย
แล้วจะไม่ให้คนจำนวนมากคาดเดาตอนจบของเรื่องนี้อย่างไร
ระหว่าง “ยุบ” กับ “ไม่ยุบ”
หลายคนในใจคงมีคำตอบล่วงหน้าแล้ว ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาแบบไหน
แต่ประเด็นที่ต้องใคร่ครวญกันต่อก็คือ
ถ้าหากไม่ยุบแล้วจะมีอะไรเกิดขึ้น
หรือยุบแล้วจะมีอะไรติดตามมา
กรณีไม่ยุบนั้นง่ายดายยิ่ง
ทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่ “โหมดเลือกตั้ง” ตามปกติ แข่งขันกันหาเสียงไปตามกติกาเช่นเดิม
แต่ความน่าสนใจก็จะอยู่ตรงเป็นกรณียุบเสียละมากกว่า
ในสังคมที่ข่าวลือมักจะเป็นความจริงในท้ายที่สุดอย่างสังคมไทย
ข่าวที่ “ลือกันหนักมาก” ในช่วงนี้ก็คือ
หากมีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ที่จะติดตามมาด้วยก็คือการกล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีทางอาญากับผู้เกี่ยวข้อง
อันได้แก่กรรมการบริหารพรรคทั้งหมด
จริงเท็จอย่างไร ให้ฟังหูไว้หู
รอดูจนกระทั่งความเป็นจริงเกิดขึ้น
แต่ในสังคมที่ข่าวลือมักเป็นจริงนั้น
ปัจจัยสำคัญมาจากข่าวลือมิใช่ข่าวลือ
แต่เป็นการประมวลเอาจากเจตนารมณ์และพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้องในแต่ละฝ่าย
แล้วได้บทสรุปอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในสังคมปกติ การเลือกตั้งจะเป็นเครื่องมือในการตัดสินปัญหาความขัดแย้งของคนในสังคมด้วยวิธีการสันติ
แต่ในบางสังคมที่ไม่ปกติ การเลือกตั้งนอกจากมิได้เป็นเครื่องมือในการคลี่คลายความขัดแย้ง
ยังจะถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง หรือเสริมให้ความขัดแย้งนั้นยิ่งรุนแรงและซับซ้อนขึ้นเสียเอง
ถ้าเป็นกรณีหลัง ยังจะมีอะไรติดตามมา ก็ยากที่จะคาดเดาได้
เพราะในสังคมที่ไม่ปกติ
อะไรก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นได้
อย่างไม่ปกติ