แม้ กกต.จะประกาศผลอย่างเป็นทางการของการเลือกตั้งก็ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม แต่เชื่อว่าแนวโน้มของการเลือกตั้งเริ่มปรากฏ
เป็นไปตามความคาดหมายหรือไม่
ไม่ว่าความคาดหมายจากพรรคเพื่อไทยที่มั่นใจว่าจะมาเป็นอันดับ 1 ไม่ว่าความคาดหมายของพรรคพลังประชารัฐที่ว่าจะได้อย่างต่ำ 120 บวกลบ
เพียงหลังปิดหีบในเวลา 17.00 น. คงมีคำตอบ
ต้องยอมรับว่า การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมมากด้วยปัจจัย “ใหม่” และ “ตัวแปร” ซึ่งเกิดขึ้นตลอด 2 รายทาง
แม้กระทั่งในคืนวันที่ 23 มีนาคม
คำถามที่ท้าทายเป็นอย่างมากก็คือ ตัวแปรแต่ละตัวแปรมีผลสะเทือนและก่อให้เกิดการพลิกกลับของการตัดสินใจหรือไม่
ป่านนี้ “คำตอบ” คงได้กันแล้ว
มีความเชื่อโดยพื้นฐานว่า ไม่ว่าชัยชนะจะเป็นของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าชัยชนะจะเป็นของพรรคเพื่อไทย หรือไม่ว่าชัยชนะจะเป็นของพรรคประชาธิปัตย์
แต่ 1 นี่คือการเริ่มต้นของ “ปัญหา” ที่จะตามมา
ตามมาจากความขัดแย้งที่สะสมต่อเนื่องจากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 จากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะจบลงอย่างง่ายดาย
ไม่ว่ารัฐบาลจะมีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนกลาง ไม่ว่ารัฐบาลจะมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนกลาง ไม่ว่ารัฐบาลจะมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนกลาง
ขณะเดียวกัน 1 เชื่อว่า “อายุ” ของรัฐบาลจะไม่ยาว
การคาดหมายที่ปรากฏจากแต่ละพรรคการเมืองในห้วงแห่งการดีเบตประชันวิสัยทัศน์ให้เวลาของรัฐบาลว่าไม่น่าจะเกิน 2 ปี
เป็น 2 ปีที่อาจมี “รัฐประหาร” เป็น 2 ปีที่อาจมี “การเลือกตั้ง” ใหม่
ข้อเสนอที่ว่าหากเลือกพรรคพลังประชารัฐความสงบจะได้รับการรักษาเหมือนกับที่เห็นและดำรงอยู่ขณะนี้ ข้อเสนอที่ว่าหากเลือกพรรคประชาธิปัตย์การปรองดองจะเกิดขึ้น หรือหากเลือกพรรคเพื่อไทยเศรษฐกิจจะดีขึ้นภายใน 6 เดือน
จึง “ท้าทาย” อย่างยิ่ง
เพราะเป็น “ข้อเสนอ” ที่แทบไม่มีใครเชื่อ การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นตลอดวันที่ 24 มีนาคมจึงอยู่บนพื้นฐานของความไม่เชื่อ
แต่ก็พร้อมเดินหน้าไปสู่ความขัดแย้งใหม่ ปัญหาใหม่
ลักษณะที่ก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่งจากการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือ ประชาชนตระหนักและเห็นความจำเป็นของการเลือกตั้ง
เชื่อว่าเป็น “พัฒนาการ” และเป็นหนทางออกที่ดี
หลังจากจมอยู่กับปัญหาและความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี
ไม่ว่าในที่สุดนายกรัฐมนตรีจะเป็นของพรรคจากพรรคพลังประชารัฐ จากพรรคประชาธิปัตย์ หรือจากพรรคเพื่อไทย ก็ถือว่าเป็นบทสรุปร่วม
อย่างน้อยก็มาจาก “การเลือกตั้ง”
อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มอันทรงความหมายภายหลังจากตกอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้งแตกแยกมาอย่างยาวนาน
หวังอย่างยิ่งว่าจะไม่ลงเอยด้วย “รัฐประหาร” อีก