บทนำ ประจำวันพุธที่ 27 มีนาคม 2562 : อย่าลืมนโยบาย

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม มีการเลือกตั้ง ส.ส. โดย กกต.ได้แถลงผลการเลือกตั้งในวันดังกล่าวสรุปว่า จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 51 ล้านคน มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ 65.9 เปอร์เซ็นต์ มีบัตรเสีย 5 เปอร์เซ็นต์ และ กกต.กำลังนับคะแนนจากหีบบัตรเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งทาง กกต.ได้วางระบบการนับคะแนนและเผยแพร่ผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยกำหนดว่าจะถ่ายทอดผลการนับคะแนนถึงร้อยละ 95 แล้วจะหยุด โดยการนับคะแนนตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่คือ การนับทุกคะแนนที่ประชาชนไปเลือกตั้ง แล้วนำทุกคะแนนดังกล่าวไปรวมเป็นคะแนนแต่ละพรรค ซึ่งปรากฏว่าพรรคพลังประชารัฐได้คะแนนมากที่สุด ขณะเดียวกัน หากนับคิดจำนวน ส.ส.เขตที่ได้รับการเลือกตั้ง ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้จำนวน ส.ส.เขตมากที่สุด

เมื่อผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการดังกล่าวออกมาแล้วปรากฏว่ามีผู้ที่ได้ “มากที่สุด” 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่ได้คะแนนมากที่สุด และฝ่ายที่ได้ ส.ส.มากที่สุด จึงทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายตั้งท่าจะแสวงหาแนวร่วมเพื่อตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในการจัดตั้งรัฐบาลและเลือกนายกรัฐมนตรีมีแนวคิด 3 ประการคือ หนึ่ง ให้พรรคที่ได้อันดับ 1 เป็นผู้จัดตั้งก่อน ถ้าไม่ได้ให้พรรคที่มีอันดับรองลงไปเป็นผู้จัดตั้ง สอง ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะได้อันดับเท่าใด หากสามารถรวบรวมเสียงในสภาได้เกินกึ่งหนึ่งก็ให้จัดตั้งรัฐบาล และสาม ใครจะจัดตั้งรัฐบาลก็ได้ แต่เวลาเลือกนายกรัฐมนตรีขอให้สภาผู้แทนราษฎรรวมเสียงให้มากเพื่อ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ไม่ให้โหวตเลือกนายกฯ

อย่าลืมว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังจากการยึดอำนาจของฝ่ายทหาร ซึ่งมีข้ออ้างในเรื่องการเมืองที่มีความขัดแย้ง การบริหารประเทศที่ขาดธรรมาภิบาล ดังนั้น เมื่อผลการเลือกตั้งผ่านไป การจัดตั้งรัฐบาลที่กำลังจะมีขึ้นควรจะดำเนินไปด้วยความสง่างาม มีธรรมาภิบาลในการแข่งขัน และที่สำคัญควรจะตกลงกันตั้งแต่แรกว่า เมื่อเป็นรัฐบาลแล้ว รัฐบาลผสมจะนำนโยบายหาเสียงที่แต่ละพรรคการเมืองได้ให้สัญญาประชาชนไว้ก่อนการเลือกตั้งมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลด้วย อย่าให้เกิดข้อครหาว่าเมื่อหาเสียงก็สัญญาประชาชนไว้ แต่พอได้บริหารประเทศ คำที่เคยให้สัญญาก็ลืมเลือนไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image