ตัวเจ้าปัญหา : วีรพงษ์ รามางกูร

ปัญหาของบ้านเมืองทุกวันนี้ที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าระยะสั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นปัญหาการชะลอตัวของการส่งออกสินค้าและบริการ แม้จะได้การท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวชาวจีนมาเสริม จนทำให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุล แต่ราคาสินค้าส่งออกทุกตัวชะลอตัว ทำให้รายได้ของเกษตรกรและคนระดับ “รากหญ้า” ตกต่ำลงอย่างหนัก แม้แต่คนที่มีรายได้ระดับปานกลางก็ถูกกระทบอย่างหนัก

ปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่ว่าแม้ว่าจะเป็นปัญหาหนัก แต่ผู้คนก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่ากับปัญหาการ “สืบต่ออำนาจ” ของรัฐบาลเผด็จการทหาร ที่เข้ามายึดอำนาจอธิปไตยจากปวงชนชาวไทย เข้ายึดการปกครองประเทศ

เมื่อก่อนก็ร่วมมือกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ สร้างวาทกรรมไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งหลังจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียตนก็ไม่ชนะการเลือกตั้ง ประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้ง จัดการชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อปูทางไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร โดยให้สัญญาว่าจะอยู่ไม่นาน เพียงเพื่อจัดการกับความแตกแยกที่ตนสร้างขึ้นเป็นภาพลวงตา แล้วตนก็จะไป

แต่เมื่อเวลามาถึง อำนาจทำให้ลุ่มหลง เมื่อได้อำนาจมาแล้วก็ไม่อยากลงจากอำนาจ แต่หาทาง “สืบต่ออำนาจ” ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

Advertisement

ถ้าเจ้าตัวทำตามสัญญา เหมือนกับเพลงที่เปิดกรอกหูประชาชนอยู่ทุกวัน เอาช่วงเวลาที่ดีที่สุดของโทรทัศน์มาทำรายการโฆษณาตัวเองเป็นเวลาเกือบ 5 ปี จนเป็นเหตุให้โทรทัศน์ทุกช่องขาดทุนจนจะอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีโฆษณา เวลาโฆษณาที่แพงที่สุดคือเวลาระหว่าง 20.30-21.30 น. กลายเป็นเวลาที่นายกรัฐมนตรีเอาไปโฆษณาผลงานของรัฐบาล เป็นเวลาที่ออกมาร่ายยาว

แทนที่ประชาชนจะได้ชมรายการละครหลังข่าวหรือสารคดีที่เป็นประโยชน์ กลับต้องปิดโทรทัศน์ประหยัดไฟ ไม่ก็หันไปดูรายการโทรทัศน์ของต่างประเทศ เช่น CNN BBC CCTV หรือ NHK แทนโทรทัศน์ไทย

เพราะทุกวันนี้ผู้คนทั้งในเมืองและชนบทต่างก็ติดตั้งจานรับสัญญาณโดยตรงจากดาวเทียมได้ ถ้าไม่ต้องการปิดโทรทัศน์หนีรายการที่น่าเบื่อ

นอกจากนั้นแล้วการที่จะต้อง “สืบทอดอำนาจ” ให้ได้ แม้ว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภามาช่วยลงคะแนนเสียงเลือกหัวหน้ารัฐบาล แต่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญคงจะหลงลืมว่าหลังจากเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วหากในสภาผู้แทนราษฎร ที่ทั้ง
พปชร.หรือพรรคพลังประชารัฐและพรรคพันธมิตรเกิดมีคะแนนในสภาผู้แทนราษฎรน้อยกว่าหรือมีคะแนนปริ่มน้ำ จะบริหารประเทศอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ

ความจำเป็นที่พรรครัฐบาลและพันธมิตรต้องมีเสียงมากกว่าครึ่งพอสมควร ทำให้มีปรากฏการณ์ประหลาดๆ เกิดขึ้นกับองค์กรอิสระที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ทั้งเรื่องการพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวกับการเมืองบ้าง ผลของการวินิจฉัยชี้ขาดจึงออกมาอย่าง “ข้างๆ คูๆ” บางครั้งก็ถึงกับให้ข้อมูลทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อมูลทางพิธีการทูต การเข้าไปสังเกตการณ์เป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพียงเพราะรัฐมนตรีต้องการจะ “เลีย” หรือประจบนายกรัฐมนตรีจนเกินงาม

ทางด้านนายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจในฐานะหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรีเต็มตัว ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีรักษาการระหว่างการจัดการเลือกตั้ง เอาเปรียบฝ่ายตรงกันข้ามทุกอย่างแล้วก็ยังแพ้เลือกตั้งในสภาล่าง ปัญหาจึงเกิดขึ้นทุกขั้นตอนของการเลือกตั้ง

คณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่ไหนแต่ไรก็เป็นอิสระในการทำหน้าที่ สามารถประกาศผลการเลือกตั้งเบื้องต้นได้ทันที ภายในเวลาไม่นานเมื่อปิดหีบเลือกตั้ง แต่คราวนี้ประกาศไม่ได้ จะด้วยเหตุมีการโกงการเลือกตั้ง คะแนนเสียงการเลือกตั้งเขย่งกับจำนวนผู้ที่ออกมาลงคะแนนเลือกตั้ง และจำนวนบัตรเสีย รวมออกมาแล้วไม่เท่ากันโดยอธิบายเหตุผลไม่ได้ ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ส่วนเขตที่ไม่มีปัญหาในการกาบัตรก็เลยพลอยประกาศผลไม่ได้ด้วย

ยิ่งมาถึงผลการเลือกตั้งที่คะแนนเฉลี่ยประมาณ 71,000 คะแนนต่อหนึ่งสมาชิกบัญชีรายชื่อ ก็จะลากเข้าไปตีความเพื่อให้พรรคที่ได้คะแนนเสียง 30,000-40,000 เสียงให้ได้มีที่นั่งในสภา อ้างว่าเพื่อไม่ให้มีเสียง “ตกน้ำ” ทุกคะแนนเสียงมีความหมายซึ่งเป็นไปไม่ได้ กกต.ไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวจะซ้ำรอย กกต.ชุดที่ 2 ที่ถูกฟ้องและแพ้คดี ต้องส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

ทั้งๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยยกคำร้องให้ตีความโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมาแล้ว

ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวปัญหาต้องการจะสืบทอดอำนาจต่อไป จะอีก 4 ปี หรือ 5 ปี หรือ 20 ปีก็ได้ ถ้าเจ้าตัวรักษาสัญญาว่าจะอยู่ไม่นาน จัดการเรื่องต่างๆ แล้วก็จัดให้มีการเลือกตั้ง ส่งมอบอำนาจให้กับรัฐบาลพลเรือน ปัญหาเช่นว่าก็จะไม่เกิด

ปัญหาที่เกิดก็เพราะเจ้าตัวปัญหาอยากสืบทอดอำนาจโดยการเลือกตั้ง แต่บังเอิญผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการที่รู้กันไปทั่วแล้วว่าตัวเองแพ้การเลือกตั้งในสภาล่าง ต้องลากเอาสมาชิกวุฒิสภามาช่วยลงคะแนนเลือกตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็คงทำได้ แต่นายกรัฐมนตรีคนเดิมที่มาใหม่ก็จะเป็นตัวปัญหาต่อไป อีกทั้งเมื่อส่งมอบอำนาจให้กับตัวเองในฐานะตัวแทนของพรรค พปชร.ที่ไม่มีมาตรา 44 มาใช้เพื่อละเมิดกฎหมายระเบียบแบบแผนของการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้

การที่องค์กรอิสระไปรับคำสั่งแล้วทำเป็น “แกล้งโง่” ในการวินิจฉัย ทำเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจนั้น เป็นการทำลายโครงสร้างชั้นบนหรือ super structure ของประเทศที่ได้สร้างสมกันมาเป็นเวลานาน

เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 แทนที่องค์กรอิสระจะต่อต้าน ไม่ยินยอมกับการถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในกิจการปัญหาการเมือง กลับจะรู้สึก “พอใจ” ที่ได้รับใช้ฝ่ายบริหาร ที่เป็นผู้แต่งตั้งให้ตนได้เข้ามารับหน้าที่

เมื่อจะต้องวินิจฉัยประเด็นทางกฎหมายก็ทำเป็น “แกล้งโง่” เสีย โดยวินิจฉัยอย่างไม่เคารพต่อวิชาชีพและศักดิ์ศรีของตนเอง การตรวจสอบและการคานอำนาจกันระหว่างฝ่ายบริหารนิติบัญญัติและองค์กรอิสระจึงไม่มี การคานอำนาจกันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติพอจะเข้าใจได้เพราะในสภานิติบัญญัตินั้นไม่มีฝ่ายค้าน เพราะทุกคนได้รับแต่งตั้งมาจากฝ่ายบริหาร

แต่สำหรับองค์กรอิสระซึ่งเป็นที่พึ่งของประชาชน ถ้าหาก “ไม่ยืนให้มั่นคง” ไม่เป็นหลักให้กับประเทศชาติและประชาชนเสียแล้ว อนาคตของประเทศชาติก็คงจะไม่มี

โอกาสที่จะพัฒนาเศรษฐกิจและการเงินของประเทศให้เป็นประเทศพัฒนาแล้วก็หมดไป ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ให้รัฐบาลเผด็จการทหารสามารถพัฒนาประเทศให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ มีแต่จะเปลี่ยนประเทศที่เป็นประเทศกึ่งพัฒนาให้เป็นประเทศด้อยพัฒนาเท่านั้น เพราะในการเจรจาการค้าและการเงินระหว่างประเทศ ผู้นำเผด็จการทหารไม่เป็นที่ยอมรับในการเป็นคู่เจรจา การเจรจาทางการค้าต่างๆ เช่น เขตเศรษฐกิจเสรี การเป็นคู่ค้ากับกลุ่มการค้าทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เรื่องต่างๆ เป็นอันยุติลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกาและยุโรป ยกเว้นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับเขาเพียงฝ่ายเดียว

การวินิจฉัยเรื่องต่างๆ ของรัฐมนตรีก็ดี ขององค์กรอิสระต่างๆ ก็ดี แม้แต่หน่วยงานต่างๆ ที่จะอำนวยความยุติธรรมและความถูกต้องให้กับสังคม หากกระทำไปเพื่อเป็นการเอาใจกัน จึงเป็นการวินิจฉัยอย่าง “หน้าด้าน” ที่ไม่อับอายว่าตนจะกลับไปสอนหนังสือ กลับไปสอนนิสิตนักศึกษาให้สืบทอดเจตนารมณ์ของการเป็น “นักกฎหมาย” ที่ดีได้อย่างไร

เพราะหลายคนที่เป็นกรรมการในองค์กรอิสระอีกด้านหนึ่งก็เป็นอาจารย์สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัยด้วย

การออกข่าวกับสาธารณชนว่าจะขอให้ประเทศต่างๆ ส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่เข้าเงื่อนไขที่ประเทศที่เจริญแล้วเขาจะปฏิบัติได้ จึงเป็นการสร้างข่าวให้ประชาชนเข้าใจผิดในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล เพื่อเอาใจเจ้าตัวปัญหาที่ต้องการสืบทอดอำนาจ

แต่ก็ “หน้าด้าน” ทำเพื่อขออยู่ในตำแหน่งต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image