ผู้เขียน | ผาสุก พงษ์ไพจิตร |
---|
รัฐสภาครั้งนี้จะมี ส.ส. ประเภทที่ไม่เคยมีกันมาก่อน รวมทั้งคนหนุ่มสาว ไม่ใช่เฉพาะแต่อนาคตใหม่ แต่จากพรรคอื่นๆ เช่นประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย และยังมีกลุ่มใหม่ๆ เช่น LGBTQ นักเคลื่อนไหวทางสังคมด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสิทธิมนุษยชน ผู้สนใจสิทธิสตรี ผู้สนใจระบบสวัสดิการสังคมสมัยใหม่ รัฐสภานี้จะหลากหลายกว่ากลุ่มแคบๆ ที่เป็นมาในอดีต ซึ่งส่วนมากเป็นชายกลางคน เป็นนักธุรกิจหรือข้าราชการเกษียณ จึงเป็นความท้าทาย
การเลือกตั้งครั้งนี้ยังทำให้สังคมมีความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงหลายด้านสูงขึ้นเพื่อให้สังคมก้าวหน้าและสันติสุข
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น เป็นห่วงว่าเราอยู่ในภาวะไม่แน่นอน และเพราะว่าผลการเลือกตั้งกำกวมไม่ชัดเจนสร้างความกังขาและความกังวล เป็นสถานการณ์ที่โอกาสความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้
ผลการเลือกตั้งแสดงว่าทัศนคติของคนในประเทศมีความหลากหลาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เราไม่สามารถ ให้ทุกคนคิดเหมือนกันหมดได้ เมื่อรัฐบาล คสช. เถลิงอำนาจได้พูดถึงสร้างความปรองดองและนำความสุขมาสู่สังคม แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้น ความขัดกันยังอยู่ ในสถานการณ์เช่นนี้การทะเลาะ โต้เถียง หรือการสร้างสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรม จะยิ่งเกิดความขัดกัน จะดีกว่าถ้าเราพยายามจะเข้าใจกัน
เมื่อเลือกตั้งแล้วทุกกลุ่มมีตัวแทนในรัฐสภา อันเป็นสถาบันสำหรับอภิปรายถกเถียงกัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นโอกาสที่จะประนีประนอม ไม่หาเรื่องมาขัดกันเพิ่ม เช่น การใช้กฎหมายเพื่อแก้ความขัดกัน ทั้งที่จริงๆ แล้วควรจะพูดคุยปรึกษาหารือกันเพื่อแก้ความขัดนั้น
ความคาดหวังของประชาชนที่จะมีสันติสุขหลังการเลือกตั้ง จึงต้องการการประคับประคองจากทุกฝ่าย ที่จะใช้รัฐสภาเป็นที่สร้างความปรองดองและการตกลงกันนำประเทศก้าวไปข้างหน้า ภายใต้กฎเกณฑ์และวัฒนธรรมของรัฐสภา ไม่เกิดความรุนแรง ไม่รำนอกม่าน ถ้าปฏิบัติได้ ประเทศเราจึงจะก้าวหน้าไปได้ แม้จะค่อยเป็นค่อยไปแต่ดีกว่าสถานการณ์ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
นี่จึงเป็นความท้าทายต่อรัฐบาลใหม่ รัฐสภาใหม่ เป็นอย่างมาก
แต่ความปรองดองและสันติสุข ยังขึ้นอยู่กับสถาบันอื่นๆ อีกนอกจากสองสถาบันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันทหาร
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขดังที่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญจะก้าวหน้าไปไม่ได้อย่างราบรื่น หากไม่ได้รับความร่วมมือจากสถาบันกองทัพ ซึ่งมีหน้าที่ชัดเจนในฐานะทหารอาชีพในด้านการป้องกันประเทศ แต่ไม่ใช่ในด้านการบริหารประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายพลเรือน ผ่านการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งพรรคการเมืองต่างๆ เข้าแข่งขันกันเสนอตัวและนโยบายสนองความต้องการของประชาชนภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดแน่นอน
จากประสบการณ์ของหลายประเทศในโลก พบว่า หากทหารลงมาเล่นการเมือง เป็นอันตรายต่อสถาบันทหารเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าไม่ใช่หน้าที่โดยตรง
แม้จะมีรัฐบาลใหม่ มีรัฐสภาใหม่ที่เป็นความหวังของประชาชน แต่ถ้าสถาบันทหารไม่ถอนตัวออกจากการเมือง สังคมไทยจะอยู่ในกับดักของความขัดกัน และอาจจะไม่สามารถมีสันติสุขได้ดังหวัง หรือไม่
นี่เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย
ผาสุก พงษ์ไพจิตร