ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลหน้าเดิน
และเดินหน้าไปตาม “โรดแมป”
ของบางกลุ่มบางฝ่ายอย่างชัดเจน
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตจำนวน 349 คน ในเย็นวันที่ 7 พฤษภาคม
กระบวนการอื่นๆ ก็ทยอยตามมา
10.00 น. 8 พฤษภาคม
ศาลรัฐธรรมนูญออกแถลงการณ์ กรณีคำร้องกรณีผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้วินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 128 มีความชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 91 หรือไม่
โดยผลการลงมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยว่า
แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 128 มีรายละเอียดเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญมาตรา 91แต่ก็เป็นเพียงการกำหนดรายละเอียด
หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณคิดอัตราส่วน เพื่อให้ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อให้ครบจำนวนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
โดยกำหนดวิธีการคิดคำนวณในกรณีที่ไม่สามารถจัดสรรให้ครบ 150 คนดังปรากฏรายละเอียดตามมาตรา 128 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) (5) (6) และ (7)
ซึ่งเป็นไปตามหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 91 วรรคหนึ่งและวรรคสามแล้ว
จึงวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 128 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 91
จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ออกมาก่อนการประกาศผลรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะตามมาบ่ายเดียวกัน
รายงานข่าวจากคณะกรรมการการเลือกตั้งระบุว่า การคำนวณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อจะออกมาตามแนวทางที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเคยวางแนวเอาไว้
อันหมายถึงพรรคการเมืองที่ได้คะแนนต่ำกว่าจำนวน “พึงมี” ซึ่งในครั้งนี้คือประมาณ 71,000 คะแนน
จะได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อด้วย
ส่งผลให้มีพรรคการเมืองจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ทั้งสิ้น 27 พรรค
และพรรคที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คนมีจำนวน 13 พรรค
อันหมายถึงแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลของขั้วพรรคพลังประชารัฐ
สดใสชัดเจนขึ้น
ประการหนึ่ง นอกจากจะมีรัฐมนตรี และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทยอยลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาชุดต่อไป
อันจะมีส่วนการเข้ามาร่วมลงมติเลือกตัวนายกรัฐมนตรี
ประการหนึ่ง เสียงของขั้วพลังประชารัฐในสภาผู้แทนราษฎร ก็มีแนวโน้มจะ “เกินครึ่ง” ขึ้นมาได้
นับนิ้วคำนวณก็คือพลังประชารัฐ 117, ประชาธิปัตย์ 52, ภูมิใจไทย 51, ชาติไทยพัฒนา 10
รวมพลังประชาชาติไทย-ชาติพัฒนาที่จับมือกันแน่นเหนียว 8, พรรคเล็กพรรคน้อย 13
เศรษฐกิจใหม่ที่ไม่มีนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ 5
และอาจจะมี “งูเห่า” ที่มาจากขั้วเพื่อไทยอีก 5-6 คน
ส่งผลให้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขั้วพลังประชารัฐ “น่าจะ” อยู่ที่ 260 บวก/ลบ
อันจะส่งผลต่อการเลือกตัวประธานสภาผู้แทนราษฎร
และการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
แต่ถึงกระบวนการหน้าเดินจะเดินหน้าไปเช่นนี้
ก็ยังมีความเสี่ยงหลายประการที่พึงระวัง
ประการหนึ่ง ความสง่างามและความชอบธรรมในฐานะรัฐบาล ที่ต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งและอำนาจ
ไม่ว่าเสียงที่ไม่ได้เลือกมาจากประชาชน หรือการสนับสนุนให้เกิดการ “ทรยศ” ต่อความไว้ใจของประชาชน
ประการหนึ่ง เสถียรภาพอันง่อนแง่นของรัฐบาล “ร้อยพ่อพันแม่” ที่เสียงปริ่มน้ำ
การผูกพันกันด้วยผลประโยชน์มากกว่าอุดมการณ์ พิสูจน์มาโดยตลอดว่าไม่เคยอยู่ยั้งยืนนาน
ลำพัง “เสียงแตก” ในประชาธิปัตย์พรรคเดียว ก็ล้มรัฐบาลได้แล้ว
ประการหนึ่ง ความหมิ่นเหม่ในทางกฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เป็นความกับพรรคการเมืองที่ “เสียงตกน้ำ” ร่วม 1 ล้านเสียง
เพราะสูตรการคำนวณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ
เส้นทางการตั้งรัฐบาลของ คสช. พลังประชารัฐ และพันธมิตร
มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดทาง