ผู้เขียน | ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช |
---|
การเจรจายุติสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐเกิดการพลิกผัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 2 แสนล้านเหรียญอย่างกะทันหัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม
(หมายเหตุ – บทความเขียนวันที่ 9 พฤษภาคม)
ดูประหนึ่งว่า สหรัฐฉวยโอกาสระหว่างการเจรจาใกล้จะสำเร็จ เพื่อให้ฝ่ายจีนถอยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม คณะของจีนก็ยังทยอยกันเดินทางไปสหรัฐเพื่อประชุมตามวาระคือ 10 พ.ค.
สอดคล้องด้วยคำพังเพยของจีน “แม้รู้ว่าป่ามีเสือ ก็ยังมุ่งหน้าเข้าป่า”
ทั้งนี้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการครหาของสหรัฐในกรณีผิดนัดการประชุม
การที่สหรัฐและจีนเปิดการประชุมเพื่อหารือข้อยุติสงครามการค้า ก็เพราะสงครามการค้ามีผลกระทบเศรษฐกิจโดยรวม แต่ในยามที่ผลการเจรจามีความคืบหน้าตามลำดับและใกล้จะสำเร็จ ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นมีการตอบสนองที่ดีและกระเตื้องขึ้น สหรัฐคงถือว่ามีต้นทุนมากขึ้น จึงทำการกดดันจีนเพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์ที่มากขึ้น
หากเป้าหมายการเจรจาอยู่ที่แก้ไขปัญหาความขาดดุล ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลใดที่ทำไม่ได้ แต่ถ้าสหรัฐมีเจตนาสกัดกั้นการพัฒนาของประเทศจีน ความแตกแยกก็ไม่อยู่เหนือความคาดหมาย
เมื่อเดือนธันวาคม 2018 การประชุมสุดยอดระหว่าง “สี จิ้นผิง-โดนัลด์ ทรัมป์” ณ ประเทศอาร์เจนตินา ได้ตกลงยินยอมชะลอการปรับขึ้นภาษีการนำเข้าสินค้าไปพลางก่อน ต่อมาผู้แทนทั้ง 2 ประเทศได้มีการเจรจารวมหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้พูดหลายครั้งว่า การเจรจาดำเนินไปด้วยความ “ราบรื่นอย่างยิ่ง” ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐกระเตื้องขึ้น
การประชุมครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม ณ กรุงปักกิ่ง หลังการประชุมเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวแถลงว่า คาดว่าการเจรจาจะแล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
เวลาผ่านไปไม่ถึง 1 สัปดาห์ “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็กลับคำจากที่เคยพูดว่า “ใกล้เวลาบรรลุความสำเร็จแห่งสัญญาประวัติศาสตร์” กลายเป็น “ไม่พอใจการเจรจา เพราะเกิดความล่าช้า”
จึงสั่งเพิ่มภาษีสินค้าจีนจาก 10% ให้เป็น 25% ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคมเป็นต้นไป
ไม่แปลกที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” กลับลำอย่างกะทันหัน เพราะเป็นความกลับกลอกของเขาโดยสันดาน ดูตัวอย่างเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2018 ผู้แทนจีน-สหรัฐได้บรรลุกรอบแห่งการเจรจาทางการค้าไประดับหนึ่งแล้ว ต่อมา “ทรัมป์” ก็ประกาศสงครามการค้ากับจีน
บรรดาสัญญาข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ “ทรัมป์” ให้ยกเลิก อาทิ
สัญญาข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP)
สัญญานิวเคลียร์สหรัฐ-รัสเซีย “Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty” เป็นต้น
ซึ่งเป็นสัญญาระหว่างประเทศมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ยังยกเลิก
ส่วนการเจรจายุติสงครามการค้านั้น ยังไม่ได้ลงนามในสัญญาข้อตกลง
ถ้าจะยกเลิกการเจรจาหรือข้อตกลงใด สำหรับทรัมป์นั้น ก็คือ
“A Piece of Cake” (ทำสำเร็จได้ง่ายมาก)
การดำรงอยู่ของปัญหาการเจรจายุติสงครามการค้าขณะนี้ ไม่ต่างไปจากสภาพการประชุมขั้นสุดยอดครั้งล่าสุดระหว่าง “คิม จอง อึน-โดนัลด์ ทรัมป์” ความเสี่ยงการแตกแยกมีสูงอยู่
“โดนัลด์ ทรัมป์” อาจจะใช้วิธีเดียวเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อ “คิม จอง อึน” เพราะเหตุการณ์ที่ดำรงอยู่ใกล้เคียงกัน ขณะนั้นประชาคมโลกมองว่า อย่างน้อยทั้งสองประเทศก็คงสามารถบรรลุข้อตกลงบางประการ โดยมิได้คาดคิดมาก่อนว่า ต้องเกิดความแตกแยกในปริโยสาน
“โดนัลด์ ทรัมป์” ได้กล่าวหาว่าเป็นความผิดของ “คิม จอง อึน” โดยอ้างว่า เกาหลีเหนือขอให้สหรัฐยกเลิกการคว่ำบาตรทั้งหมด สหรัฐยอมรับมิได้
แต่สื่อสหรัฐและเกาหลีเหนือรายงานว่า ความจริงคือทั้งสองฝ่ายได้ทำการทบทวนข้อตกลงความยินยอมและเป็นที่รับรู้ร่วมกันว่า “ทำการปลดอาวุธนิวเคลียร์เพื่อแลกกับมาตรการคว่ำบาตรตามสัดส่วนตามลำดับและตามขั้นตอน”
ทว่า เมื่อถึงนาที “เข้าด้ายเข้าเข็ม” โดนัลด์ ทรัมป์ กลับยื่นเงื่อนไขใหม่ โดยขอให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธทั้งหมด แต่ คิม จอง อึน เห็นว่าสหรัฐมีเจตนาร้าย
ฉะนั้น “คิม จอง อึน” จึง Walk out !
บัดนี้ การเจรจายุติสงครามการค้าก็มาถึงนาที “เข้าด้ายเข้าเข็ม”
“โดนัลด์ ทรัมป์” อ้างว่าต้องการให้สรุปผลเร็วที่สุด แต่ไม่ได้ดังใจ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบเดิม เหมือนที่เคยใช้กับ “คิม จอง อึน”
ฉะนั้น จึงประกาศให้ปรับขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีน เพื่อข่มขู่กดดันจีนให้ยอมถอยก้าวใหญ่ โดยกล่าวหาว่า “ประเทศจีนมีความประสงค์ให้เริ่มเจรจาใหม่” หากเป็นการปรักปรำ
หลายเดือนที่ผ่านมา สื่อตะวันตกรายงานว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าจีน-สหรัฐเป็นไปในทางที่น่าพอใจ อาทิ จีนซื้อสินค้าสหรัฐมากขึ้น ปัญหาทรัพย์สินทางปัญญาและการถ่ายโอนเทคนิค ล้วนดำเนินไปในทางสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ
กล่าวโดยรวมจีนยอมถอยให้สหรัฐเกือบทุกประเด็น เว้นแต่ “รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ” จีนยอมมิได้ เพราะเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่ทำการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป
รัฐบาลจีนเห็นว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนจำนวน 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐในครั้งนี้ ไม่มีเหตุผล การกระทำใดๆ ควรต้องเห็นพ้องต้องกันทั้งสองฝ่าย สหรัฐทำได้ จีนก็มีสิทธิทำได้เช่นกัน ตั้งแต่เริ่มต้นการเจรจาทั้งจีนและสหรัฐเห็นพ้องกันว่า ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลง ก็จะทำการยกเลิกมาตรการแห่งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าซึ่งกัน
การประกาศปรับขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจีนของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในครั้งนี้จึงเป็นการ “ตีปลาหน้าไซ”
ในทางตรรกะ ปีหน้าสหรัฐจะมีการเลือกตั้งทั่วไป วันนี้รีบขจัดเมฆหมอกแห่งสงครามการค้าย่อมเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์ต่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในการป้องกันแชมป์
แต่เขากลับใช้ “เล่ห์เหลี่ยม” แบบเดิมๆ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึง “มาดนักการพนัน” ของเขาแต่เก่าก่อน ขาดความสง่างามในการเป็นประธานาธิบดีประเทศมหาอำนาจ
อีกประการ 1 ก็ดูเหมือนว่า ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐแข็งตัวขึ้น จึงมีอาการ “เล่นตัว”
หากทบทวนผลกระทบจากสงครามการค้า ประเทศจีนได้รับมากกว่าสหรัฐ ในขณะที่ระบบการเมืองมีความแตกต่างกัน แต่จีนมีความอดทนสูงกว่า สามารถดูได้จากในยามสงครามการค้ากระทบเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อใด “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ยินดีเจรจา แต่เมื่อการเจรจาใกล้แล้วเสร็จ ตลาดหุ้นกระเตื้องขึ้น เศรษฐกิจแข็งตัว ทำเนียบขาวก็ถือว่ามีทุนมากพอที่จะกดดันจีน
ปัญหาจึงเกิด
การเจรจายุติสงครามการค้าได้เกิดการพลิกผันหลายครั้งหลายหน เป็นเหตุให้สังคมมองว่า สหรัฐมิเพียงประสงค์ลดการขาดดุล หากยังเป็นการสกัดกั้นความเจริญเติบโตของจีนอีกด้วย
แม้ว่า “ทรัมป์” ประกาศปรับขึ้นภาษีสินค้าก่อนการประชุมสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมก็ตาม แต่คณะของจีนนำโดย “หลิว เหอ” ประมาณ 100 คน ก็ยังเดินทางไปสหรัฐเพื่อประชุมตามวาระที่กำหนดไว้เดิม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันมิให้สหรัฐกล่าวหาว่า “ทำลายการเจรจา”
พออนุมานได้ว่า การเจรจาครั้งนี้ หากสหรัฐเรียกร้องประเด็นที่ไร้เหตุผล เชื่อแซนด์วิชกินได้เลยว่า จีนไม่มีทางยอมถอย เหตุการณ์อย่าง “คิม จอง อึน” ก็ต้องเกิดขึ้นแน่ คือ Walk out !
ทั้ง “หลิว เหอ” และ “คิม จอง อึน” ก็เป็น “ศิษย์เอกเด็กในคาถา” ของ “สี จิ้นผิง” เช่นกัน
เมื่อ “คิม จอง อึน” ทำได้ “หลิว เหอ” ก็ยิ่งต้องทำได้
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช