ไม่น่าไปรอด : โดย วีรพงษ์ รามางกูร

แม้รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมา “เพื่อพวกเรา” ข่าวปฏิวัติรัฐประหารที่พรรคสืบทอดอำนาจเผด็จการทหารคุมความได้เปรียบและใช้เงินของมากมาย สั่งการในทางลับให้องค์กรอิสระทำเรื่องต่างๆ ที่ขัดกับหลักการและความคิดของสังคม เพื่อให้ฝ่ายสืบทอดเผด็จการเอาชนะฝ่ายประชาธิปไตยให้ได้ แต่ผลที่ออกมาก็ยังไม่สามารถเอาชนะอย่างเด็ดขาดในการจัดตั้งรัฐบาลได้ ต้องอาศัยสมาชิกวุฒิสภาที่ตนตั้งมากับมือลงคะแนนเสียงในการประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี แม้ว่ากรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะกำหนดหลักเกณฑ์รายละเอียดบางอย่างไว้ชัดเจน แต่ก็เลือกปฏิบัติได้โดยพยายามให้คนไม่รู้สึกว่าน่าเกลียด

บางอย่างก็ทำไปอย่าง “หน้าด้าน” เช่น การให้กลุ่มพรรคเล็กที่ได้คะแนนไม่ถึง 71,000 เศษได้ ส.ส. แม้คะแนนจะไม่ถึงตามเกณฑ์ ดูรายชื่อของแต่ละพรรคแล้วก็เหลือเชื่อ ล้วนแต่เคยเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงราชการ แต่กลับมายอมรับใช้เผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างไม่รู้สึกละอายใจ

แม้ว่าการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นที่คาดเดาได้ว่าผลจะออกมาอย่างไร แต่เมื่อมาถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาล แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ก็เป็นที่รู้กันว่าต้องเข้าร่วมรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการแน่ เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทยที่ออกข่าวทำทีว่ายังไม่แน่นั้น เป็นการออกข่าวเอาใจประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคตน เพราะตอนรณรงค์หาเสียงนั้นให้คำมั่นกับประชาชนว่า พรรคตนจะไม่เดินแนวทางสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของฝ่ายสืบทอดอำนาจเผด็จการ แต่เมื่อประชาชนลงคะแนนเสียงให้ตนแล้วก็แล้วกัน การตัดสินใจเข้าค้ำบัลลังก์เผด็จการเป็นเรื่องของตน

แต่ผลประโยชน์และอำนาจไม่เข้าข้างใคร จึงเป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยคงเข้าร่วมสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของเผด็จการทหารที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมจากการเลือกตั้ง แม้ตนจะไม่ได้ลงเลือกตั้งก็ตาม

Advertisement

พรรคที่เสียหายทางด้านชื่อเสียงและเกียรติภูมิมากที่สุดคือพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรค ที่เคยลั่นสัจจวาจาว่า “ผมเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา” ไม่แน่ใจว่าบัดนี้สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จะยังจำกันได้หรือไม่ ไม่แน่ใจว่ายังเชื่อมั่นในระบอบรัฐสภาอยู่หรือไม่ ยังยึดถือ “หลักการ” เดิมอยู่หรือเปล่า

การที่พรรคประชาธิปัตย์ที่เคยรุ่งเรือง ต้องกลับกลายมาเป็นพรรคที่ได้ที่นั่งในสภาเพียงครึ่งร้อย เท่าๆ กับพรรคภูมิใจไทย ดังนั้น แม้ว่าทหารจะเลือกให้เข้าร่วมรัฐบาล เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงคนเดียวจำนวน 11-12 พรรค ก็คงจะเป็นเพียง “ไก่รองบ่อน” ไม่มีความหมายอะไร การที่จะกลับมาเป็นพรรคที่มีที่นั่งในสภาเกิน 100 ก็คงจะไม่มีความหวังเช่นเดิม เพราะจะกลายเป็นพรรคสายเผด็จการทหารไป เช่นเดียวกับที่เคยรับเป็นนายกรัฐมนตรีในค่ายทหาร จะใหญ่ในสายประชาธิปไตยก็ไม่ได้ จะใหญ่ในสายเผด็จการก็ไม่มีทางเป็นไปได้

สำหรับพรรคภูมิใจไทยนั้นไม่มีเกียรติภูมิอะไรที่ต้องรักษา คนที่ลงคะแนนเสียงให้ไม่ได้คาดหวังอะไรนอกจากผลประโยชน์ เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยพัฒนา ประโยชน์อยู่ทางไหนก็ไปทางนั้น เป็นของธรรมดา เพราะไม่เคยประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองอะไร คนที่ลงคะแนนเสียงให้ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เลือกตั้งเสร็จก็เสร็จ ไม่เหมือนพรรคประชาธิปัตย์ที่มีคนผิดหวังและสมหวัง ถ้าเข้าร่วมรัฐบาลคนก็จะผิดหวังมาก

Advertisement

ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ การตัดสินใจอยู่ที่ประธานที่ปรึกษาพรรคคนเดียวเท่านั้น มติกรรมการกลางของพรรคก็เป็นเพียงพิธีกรรม เช่นเดียวกับการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคที่ยังไม่สามารถโค่นล้มบารมีของประธานที่ปรึกษาพรรคได้ หัวหน้าพรรคเป็นแต่เพียงผู้แสดงเท่านั้น

การที่แกนนำฝ่ายเผด็จการทหารยังไม่กล้าประกาศอย่างเต็มคำว่า ตนกับพรรคร่วมรัฐบาลได้คะแนนเกินครึ่งแล้วคงต้องรอพรรคประชาธิปัตย์ประกาศเป็นทางการก่อน ทั้งๆ ที่รู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการแน่นอน พรรคภูมิใจไทยนั้นอยู่ในกระเป๋าอยู่แล้ว เพราะพิธีกรรมของประชาธิปัตย์นั้นสลับซับซ้อนอยู่มาก ไม่ตรงไปตรงมา คำพูดกับความจริงไม่แน่ว่าตรงกันหรือไม่

หลังพระราชพิธีเปิดสมัยประชุมรัฐสภา จะมีการเลือกประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรตามประเพณี ประธานสภาผู้แทนฯก็จะมาจากพรรครัฐบาล ส่วนรองประธานทั้ง 2 คนก็จะมาจากพรรคร่วมรัฐบาล เช่นเดียวกับรองนายกรัฐมนตรีก็จะมาจากพรรคร่วมรัฐบาลและดูแลกระทรวงที่ตนได้รับการจัดสรรให้เป็นรัฐมนตรีว่าการ

ถ้าเป็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ “มติชน” ฉบับวันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2562 ฝ่ายรัฐบาล 8 พรรคได้ลงนามให้สัตยาบันแล้ว 245 เสียง ฝ่ายที่ประกาศหนุนนายกรัฐมนตรีคนเดิม 7 พรรคกับอีก 1 กลุ่ม รวมกันได้เสียงเพียง 150 เสียง ยังต้องการเสียงจากประชาธิปัตย์ 52 เสียง และภูมิใจไทย 51 เสียง ซึ่งไม่น่ามีปัญหา ทั้ง 2 พรรคเข้าร่วมแน่ แต่จะมีเสียงรวมกันเพียง 253 เสียง เกินครึ่งมาเพียง 3 เสียง ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มพรรคเล็ก 11 พ่อ 11 แม่เสียอีก

การรวมกลุ่มเช่นว่าไม่มีทางที่จะเหนียวแน่นเหมือนฝ่ายค้านทั้งที่อิสระและไม่อิสระ ซึ่งไม่ทราบแปลว่าอะไร อิสระกับไม่อิสระจากใคร การซื้อ “งูเห่า” จึงมีความจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของรัฐบาลทุกครั้งที่มีการลงมติในสภาผู้แทนราษฎร

การยุบสภาคงจะต้องเกิดขึ้นภายในเวลาอันสั้น คาดกันว่าจะไม่เกินปลายปีนี้ ขณะนี้ฝ่ายประชาธิปไตยต้องการให้มีรัฐบาลเพื่อคณะเผด็จการ คสช.จะได้หมดอำนาจไปพร้อมๆ กับมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็จะเป็นจุดอวสานของรัฐบาลเผด็จการทหารที่ยึดอำนาจมาจากประชาชนและอยู่ในอำนาจยาวนานที่สุดตั้งแต่เคยมีเผด็จการที่มาจากการทำปฏิวัติรัฐประหารเสียที ไม่มีผลงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน จนต้องเลิกออกอากาศเพลง “ขอเวลาอีกไม่นาน” ไปแล้ว เพราะได้ขอเวลาสืบทอดอำนาจมาแล้ว 4-5 ปี อยู่ต่อไปคงแต่งเพลงขอเวลา 20 ปี

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ราคาสินค้าเกษตรประมงอุตสาหกรรมตกต่ำลงเรื่อยๆ แม้ว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุล ค่าเงินบาทตก นักเลงโต โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะเล่นงาน ต้องคอยดูว่ารัฐบาลจะแก้ตัวหรือจะโดนเล่นงาน โดยการถูกขึ้นภาษีขาเข้าจากร้อยละ 5-10 เป็นร้อยละ 25 จะเดินทางไปเจรจาการค้าเขาก็ไม่ให้วีซ่าหัวหน้ารัฐบาลเผด็จการทหารเดินทางเข้าประเทศ นอกจากเดินทางไปประชุมองค์การระหว่างประเทศที่จัดประชุมที่อเมริกาหรือยุโรป

หลังจากที่ถูกทัก คราวนี้รัฐมนตรีต่างประเทศก็ไม่กล้าออกมาพูดไม่จริงกับประชาชน สร้างผลงานปลอมเพื่อเอาใจหัวหน้ารัฐบาลอย่างที่เคยทำ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาจจะรักษาไว้ได้เช่นเดียวกับกลาโหม มหาดไทย แต่กระทรวงการต่างประเทศไม่แน่ว่าจะรักษาเอาไว้ได้

หลังการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี การจัดสรรเลขานุการและรองเลขานุการรัฐมนตรี ประธานกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เมื่อถึงคราวจะต้องลงมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.หรือลงคะแนนเสียงไว้วางใจนายกรัฐมนตรี คราวนี้แหละจะได้เห็นอำนาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชน ไม่ใช่เป็นของ คสช.อย่างที่เคยเป็น

บรรยากาศการเมืองของคนกรุงเทพฯและคนในเมืองใหญ่ๆ ยังคงเป็นไปอย่างเนือยๆ ไม่คึกคัก เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ชำนิชำนาญการอภิปรายในสภา พรรคที่มี “มีดโกนอาบน้ำผึ้ง” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็คงถูกนายกรัฐมนตรีเป่ากระหม่อม กลืนเข้าไปอยู่ในรัฐบาล นั่งมองตาปริบๆ ในการอนุมัติโครงการต่างๆ ที่มีเงินทอน

แม้ว่าจะมีพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในกระเป๋าเข้าร่วมรัฐบาล ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างเรียบร้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์มักจะแตกออกไปตั้งพรรคใหม่เสมอ มีการแบ่งกลุ่มภายในพรรคอยู่ตลอดเวลา ถ้าคนที่ตนสนับสนุนไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค

เช่นในกรณีที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ นี้เองที่เกิดกลุ่มไม่เอาหัวหน้าพรรคชาวใต้ที่ประธานที่ปรึกษาพรรคเป็นผู้สนับสนุน เสียงกระแนะกระแหนค่อนขอดว่าไม่เฉียบแหลม การศึกษาไม่สูง ไม่ใช่นักเรียนนอกก็เกิดขึ้นทันทีอย่างไม่เกรงใจ

การที่รัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำ 255 ต่อ 245 และมีโครงสร้างพรรคร่วมรัฐบาลที่อ่อนแอ เป็นพรรคที่ไม่มีอุดมการณ์เช่นนี้ พรรคที่จะเข้าร่วมคงต้องต่อรองเอากระทรวงและเอาเงินในจำนวนที่สูงจนอาจจะสู้ไม่ไหว

ถ้าสู้ไหวก็ไม่น่ารอด อวสานของเผด็จการก็อาจจะมาถึง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image