ผู้เขียน | ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช |
---|
สหรัฐได้นำชื่อบริษัท “หัวเว่ย” จัดเข้าในบัญชีดำทางการค้า เป็นเหตุให้บรรดาธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Google เป็นต้น จำต้องยุติความร่วมมือกับ “หัวเว่ย” เป็นการชั่วคราว
ท่ามกลางสงครามการค้ากำลังดุเดือด สหรัฐก็ทำการสกัดการพัฒนาไฮเทคของจีน
ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก
มุมมองของสหรัฐก็คือ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
ก็เพราะสหรัฐต้องการเพิ่มต้นทุนในการทำสงครามการค้า
แต่สหรัฐมองเหรียญเพียงด้านเดียว เพราะนี่คือ “ห่วงโซ่” ที่เชื่อมถึงกันทั่วโลก (Global supply chain) กรณีละม้ายกับสงครามการค้า คือ เสียหายทั้งคู่
การที่สกัด “หัวเว่ย” ก็เสียหายเช่นเดียวกัน
เป็นการกระทบต่อหุ้นส่วนทางธุรกิจในสหรัฐและการเจริญเติบโตเครือข่าย 5จี ทั่วโลก
สหรัฐเปิดสงครามเศรษฐกิจโดยอาศัยข้ออ้าง “ความมั่นคงประเทศ” ทำการ “ทุบขยี้” ธุรกิจของจีน โดยปราศจากวัตถุพยาน
กรณีไม่ต่างไปจากการรุกรานอิรักเมื่อปี 2003 เพราะเป็นการกล่าวที่ “เลื่อนลอย”
เป็นเรื่องใหญ่
ก็เพราะเทคนิค 5จี ของ “หัวเว่ย” นำหน้าธุรกิจประเภทเดียวกันทั่วโลก คุณภาพคุ้มค่า
วอชิงตันแถลงหลายครั้งแล้วว่า “การแข่งขันทางด้าน 5จี พ่ายแพ้แก่จีนไม่ได้แน่นอน”
และแล้ว “ขบวนการทุบขยี้” ก็เกิดขึ้น โดยมีประเด็นสำคัญอยู่ 2 ส่วน
1.”โดนัลด์ ทรัมป์” ลงนามใน “คำสั่งบริหาร” โดยประกาศให้เข้าสู่ “ภาวะฉุกเฉิน” ห้ามทำการค้าที่มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ อุปกรณ์สื่อสารของจีนจึงกลายเป็น “เป้าหลัก”
2.บรรจุหัวเว่ยให้เข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อธุรกิจ 70 องค์กร ต้องถูกควบคุมตรวจสอบ บรรดาธุรกิจสหรัฐทั้งหลายที่จะทำการขายสินค้าและบริการให้แก่หัวเว่ย จักต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ทุกรายเสมอไป
ข้อ 1 มีผลกระทบน้อยเพราะหัวเว่ยมีธุรกิจในสหรัฐไม่มาก ส่วนข้อ 2 มีผลกระทบมาก
หัวเว่ยมิเพียงเป็นแนวหน้าระดับ 5จี ของโลก ยังเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก มาตรการที่วอชิงตันทุบขยี้หัวเว่ยนั้น ธุรกิจไฮเทคสหรัฐได้รับผลกระทบรุนแรง
การพัฒนาระบบ 5จี ทั่วโลกก็ต้องชะลอการเติบโตเช่นกัน
“หัวเว่ย” มีตลาดในยุโรปกว้างใหญ่ แต่ก็ไม่เคยประสบปัญหาเหมือนกับที่ “เมดอินยูเอสเอ” เพียงแต่พบว่าการออกแบบของผลิตภัณฑ์มีช่องโหว่ และขอให้ทำการแก้ไข เรื่องก็จบ
แต่สหรัฐกลับใช้มโนคติ โดยการกล่าวอ้าง “ความมั่นคงประเทศ” เป็นใบเบิกทางในการเชือดหัวเว่ย ซึ่งไม่มีหลักฐานอันใดสามารถยืนยันถึงความผิด ปราศจากเหตุผลและขาดความชอบธรรม และก็ไม่เห็นมีนักวิชาการสักคนออกมาพูดเรื่องนี้แต่อย่างใด
สรุป ประเทศจีนก็คือ “ศัตรู” นั่นเอง
การสร้างความชอบธรรมเพื่อกล่าวหาผู้อื่นนั้น ไม่ยาก อาทิ
ปี 2003 วอชิงตันกล่าวหาว่า “อิรักพัฒนาอาวุธร้ายแรงสามารถทำลายชีวิตมนุษย์”
“เพียงคำเดียวที่ปรารถนา” แต่มิใช่เพลงที่สุเทพ วงศ์กำแหง ขับร้อง
หากเป็นคำสั่งให้เปิดฉากสงคราม บุกรุกอิรักชนิดถอนรากถอนโคน บรรดาสื่ออเมริกันช่วยเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาล จนกระทั่งอิรักราบเป็นหน้ากลอง ความจริงจึงปรากฏว่า “อิรักไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ร้ายแรงแต่อย่างใด”
การทำสงครามทางเศรษฐกิจกับจีนวันนี้ไม่ต่างไปจากการโจมตีอิรักวันนั้น
การที่ธุรกิจจีนในสหรัฐที่โดนทุบโดนขยี้ มิเพียงแต่หัวเว่ย หากมีองค์กรอื่นอีก อาทิ
บริษัทจีนชื่อ “CRRC Corporation Limited” ได้ทำการแข่งขันในการก่อสร้างรถไฟใต้ดินที่นครนิวยอร์ก และชนะการประกวดด้วยความขาวสะอาด อะไหล่ตู้รถไฟส่วนใหญ่ผลิตในสหรัฐ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของรัฐบาล แต่ก็ยังมีนักการเมือง “ฟื้นฝอยหาตะเข็บ”
ทั้งนี้ โดยชูธง “ความมั่นคงประเทศ” และขอให้ยับยั้งการประมูลของธุรกิจจีน
เนื่องจากธุรกิจไฮเทคของจีนมีการพัฒนารวดเร็ว จึงเป็นเหตุให้สหรัฐเกิดความรู้สึกว่า “ถูกคุกคาม” ฉะนั้น จึงสร้าง “ความชอบธรรม” ขึ้นมา เพื่อทำการสกัดกั้น
เวลาหลายปีที่ผ่านมา ประเทศจีนทำการปรับปรุงโครงสร้างทางเทคโนโลยี ก็เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในประเด็นห่วงโซ่ทางธุรกิจของโลก
สหภาพยุโรปก็มีความกังวลการผูกขาดของธุรกิจไฮเทคของสหรัฐซึ่งได้แก่ facebook Google เป็นต้น จนลุกลามบานปลายเกิดการฟ้องกันขึ้น
การช่วงชิงความเป็นใหญ่ทางไฮเทคของสหรัฐในครั้งนี้ อาจเป็นเหตุนำมาซึ่งการรวมตัวระหว่างจีนกับสหภาพยุโรปซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่อยู่ในระนาบเดียวกัน
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกข่มเหงรังแกอย่างปราศจากเหตุและผล
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช