‘แรมโบ้’ลอยนวล…ใครผิด? ฤาช่องโหว่ทางกฎหมาย

ช่วงนี้ ปรากฏในโซเชียลมีเดีย วิจารณ์กันหึ่งว่า คดีของ “แรมโบ้อีสาน” หลุดเพราะ “โปรย้ายค่าย”!?….หรือเหตุเพราะอัยการ “หมกสำนวน” จนทำให้คดีขาดอายุความ เป็นเหตุให้ “แรมโบ้” ลอยนวล ทั้งที่ผู้ต้องหาอีก 5 คนในคดีเดียวกันถูกอัยการสั่งฟ้องไปก่อนแล้ว

คดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552 โดยกลุ่มผู้ต้องหาอันมี นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธ์, นพ.เหวง โตจิราการ, นายจักรภพ เพ็ญแข, นายอดิศร เพียงเกษ และนายสุภรณ์ อัตถาวง หรือ “แรมโบ้” พระเอกในเรื่องฮือฮานี้

กลุ่มบุคคลดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิด ด้วยการโฆษณาหรือประกาศให้ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งสั่งให้เลิกการมั่วสุม, ร่วมกันโฆษณาหรือประกาศให้กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน หรือคดีล้มประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน นั่นเอง

และแล้วจึงเกิดประเด็นอันเป็นที่กังขาและจับตาของหมู่ประชาชนว่า การปรากฏข่าวการปล่อยให้คดีขาดอายุความนั้น ที่แท้มาจาก “โปรย้ายค่าย” ของนายสุภรณ์ที่แปรพรรคมาร่วมกับ “ลุงตู่” ในพรรคพลังประชารัฐ? หรือเป็นเพราะความบกพร่องของอัยการผู้สั่งคดีกันแน่?

Advertisement

ปุจฉาข้อแรก…. เพื่อความเป็นธรรม จึงจำต้องศึกษาย้อนหลังถึงประวัติและพฤติกรรมในทางการเมืองของนายสุภรณ์ว่าเป็นมาอย่าง? จะเห็นได้ว่านายสุภรณ์มีอดีตผาดโผน โด่งดังในหน้าสื่อระดับหนึ่ง เคยเป็นนักชุมนุมเสื้อแดงต่อต้านความอยุติธรรมให้แก่ชาวอีสานบ้านเกิดมาก่อน และคงไม่มีใครคิดมาก่อนว่า สุดท้ายแล้ว เขายอมเข้าร่วมกับ “ลุงตู่” คนดีศรีประเทศไทย จนได้…. (ฮา)

จำได้ว่า หลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2557 นายสุภรณ์เคยสาบานต่อหน้าย่าโม และให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อตนประกาศวางมือทางการเมืองก็ต้องมากล่าวบอกย่าโมว่า นัดนี้ลูกหลานคนนี้ได้ประกาศยุติบทบาททางการเมืองและขอวางมือทางการเมืองตลอดไป และขอยุบองค์กร อพปช.ภารกิจจากวันนี้ไป หน้าที่ของตนคือดูแลแม่และครอบครัว จะทำหน้าที่ในฐานะลูกหลานคนโคราช เป็นประชาชนคนหนึ่ง และจะอยู่บนแผ่นดินนี้ไม่ไปไหนเด็ดขาด และไม่อยากให้เรียกชื่อ “แรมโบ้อีสาน” อีก ขอให้ชื่อนี้เป็นตำนานทางการเมืองไป เพราะชื่อแรมโบ้อีสานเกิดจากสื่อมวลชนในสภาสมัยที่ตนเป็น ส.ส.สมัยแรกได้ตั้วฉายาให้ ดังนั้น จากนี้ไปคำว่าแรมโบ้อีสาน ให้เป็นตำนานทางการเมือง จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของผม นับจากวันนี้คือ นายสุภรณ์ ลูกหลานชาวครบุรี-เสิงสาง เป็นสามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่ง นี่คือจุดยืน และ “ขอยืนยันอีกครั้งว่า ให้ คสช.โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และคณะทุกคนให้สบายใจว่าเรา อพปช.จะไม่ได้การเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น”

เมื่อ “คม ชัด ลึก” ถามว่า ตอนนี้ “สุภรณ์” เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เรียบร้อยแล้ว ไม่เลือก “ทักษิณ” แล้ว แรมโบ้อีสานตอบแบบไม่อ้อมค้อมว่า “พล.อ.ประยุทธ์ ท่านเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมือง ท่านตั้งใจเข้ามาทำงาน และท่านเป็นคนโคราชด้วย ท่านก็ไม่ใช่คนไม่ดี ฉะนั้นจะเสียหายอะไร ถ้าผมจะสนับสนุนลูกหลานย่าโม ที่จะช่วยพัฒนาโคราชได้ ทำให้บ้านเมืองเดินไปได้ ถ้าท่านมาตามกติกา ผมก็พร้อมที่จะสนับสนุนท่าน”…และนี้คือสุภรณ์ คนที่บัดนี้ อยู่ใน “ค่ายคนดี” พรรคพลังประชารัฐ !!!

Advertisement

ปุจฉาข้อต่อมา… ของประชาชนและนักกฎหมาย ที่กังขาคือ “อัยการ” ในท้องที่พัทยา ซึ่งเป็นสถานเกิดเหตุ ปล่อยปละละเลย หรือกระทำการบกพร่องต่อหน้าที่ หรือหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุทำให้คดีดังกล่าวขาดอายุความไปหรือไม่ เพียงใด?

ต่อประเด็นนี้ ผู้เขียน ซึ่งเป็นศิษย์เก่าแห่งเนติบัณฑิตสภาพอรู้กฎหมายบ้าง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรอัยการในฐานะกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเป็นใยภาพพจน์ขององค์กรอัยการ ในเมื่อเกิดข่าวในทำนองนี้ จึงได้โทรศัพท์สอบถามข้อเท็จจริงไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดในทันทีหลังจากได้เห็นข่าวนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ออกมาเปิดเผยทางสื่อ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความกระจ่างและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ทางยุติธรรม อย่างรอบด้าน

นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงละเอียดยิบมาว่า เหตุที่ฟ้อง “แรมโบ้” ไม่ทันนั้นไม่ใช่อัยการบกพร่อง ยืนยันว่าอัยการการได้ปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนแล้ว โดยได้ส่งหนังสือด่วนที่สุดถึงตำรวจให้จับกุม และออกหมายจับก่อนคดีหมดอายุความแล้ว พร้อมกับเผยเหตุฟ้องช้า เนื่องเพราะตำรวจส่งคดีให้อัยการ เมื่อปลายปี 2560 อีกทั้งกลุ่มจำเลยร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาด้วย ตลอดจนมีการอ้างเหตุขอเลื่อนคดีบ่ายครั้ง

การที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการจังหวัดพัทยาไม่สามารถนำตัวนายสุภรณ์มาฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยาได้ จนเป็นเหตุให้ขาดอายุความ ซึ่งทาง สนง.อัยการสูงสุดได้รับการชี้แจงข้อมูลจากสำนักงานอัยการจังหวัดพัทยามาว่า เดิมเหตุการณ์ในคดีเกิดวันที่ 11 เม.ย.52 ซึ่งคดีนี้กลุ่มผู้ต้องหาที่จะถูกดำเนินคดีนั้นมีอายุความ 10 ปี และจะหมดอายุความในวันที่ 11 เม.ย.62 ซึ่งคดีนี้พนักงานสอบสวนได้รวบรวมสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาทั้งหมดทุกคน ในความผิดฐานร่วมกันโฆษณา, ขัดคำสั่ง, เพื่อให้เกิดความปั้นป่วน ฯลฯ แต่มาส่งให้อัยการในวันที่ 1 ส.ค.60 ในส่วนของนายจักภพ ผู้ต้องหาได้หลบหนีออกนอกประเทศ จึงได้มีการขอศาลออกหมายจับตั้งแต่ต้น

โดยหลังจากที่อัยการเจ้าของสำนวนรับสำนวนมาก็มีการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมตามรูปคดี ประกอบกับกลุ่มผู้ต้องหามีการยื่นร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา ซึ่งทางอัยการก็ได้มีการพิจารณาระหว่างที่รอผลการสอบสวนเพิ่มเติม จนถึงวันที่ 8 ก.พ.62 ทางพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคน และได้นัดให้ผู้ต้องหามาในวันที่ 25 ก.พ.62 เพื่อนำตัวยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยา แต่ปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้งหมดขอเลื่อนการส่งฟ้อง

อัยการก็อนุญาตให้เลื่อนเป็นวันที่ 19 มี.ค.62 แต่ระหว่างที่จะถึงวันนัดฟังคำสั่งวันที่ 15 มี.ค. นายสุภรณ์ก็ได้มาขอเลื่อนนัดฟังคำสั่ง โดยอ้างเหตุติดปราศรัยเลือกตั้ง

ส่วนนายวีระ นายณัฐวุฒิ นายจตุพร นพ.เหวง เดินทางมาตามนัดวันที่ 19 มี.ค. อัยการจึงยื่นฟ้องทั้ง 4 เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยาในวันดังกล่าว จะขาดเพียงนายอดิศรและนายสุภรณ์ ซึ่งไม่ได้มาโดยอ้างเหตุติดหาเสียงเช่นกัน

ทางอัยการจึงมีคำสั่งให้เลื่อนวันนัดฟังคำสั่งของ 2 ผู้ต้องหาที่เหลือไปเป็นวันที่ 2 เม.ย. พอถึงวันที่ 2 เม.ย.60 นายอดิศรมาตามนัด อัยการจึงนำตัวฟ้องศาล ตามไปกับจำเลยทั้ง 4 ที่ฟ้องไปก่อนหน้านี้แล้ว

แต่ในส่วนของนายสุภรณ์ ก่อนที่จะถึงวันนัดวันที่ 2 เม.ย.62 นั้นได้มีการส่งนายศุชัย ชาวสวนกล้วย ทนายความ มายื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งเนื่องจากตัวนายสุภรณ์มีอาการหายใจไม่ออกและนอนแอดมิตพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ทางอัยการพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้เลื่อน

เมื่อถึงเวลานัดก็ไม่มาอีก อัยการจึงได้มีหนังสือด่วนที่สุดถึง ผกก.สภ.เมืองพัทยา และผบช.ภ.2 ให้ดำเนินการจับกุมตัวนายสุภรณ์มาส่งอัยการฟ้องต่อศาลให้ได้ภายในวันที่ 5 เม.ย.62 แต่ทางตำรวจได้แจ้งว่ายังไม่สามารถนำตัวมาได้ จึงดำเนินการขอหมายศาลจังหวัดพัทยาออกหมายจับนายสุภรณ์ วันที่ 4 เม.ย.62 โดยหลังออกหมายจับ ทางอัยการยังได้มีหนังสือด่วนที่สุดออกมาอีกส่งถึง ผกก.สภ.พัทยา, ผบช.2, ผบก.ชลบุรี, นายอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการจับกุมตัวนายสุภรณ์มาให้อัยการฟ้องต่อศาลให้ได้ เนื่องจากคดีของนายสุภรณ์จะหมดอายุความในวันที่ 11 เม.ย.62 โดยในหนังสือที่ส่งถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เน้นย้ำเป็นอักษรดำเข้ม

รองโฆษก “คนขยัน” โกศลวัฒน์ยังกล่าวย้ำว่า “ผมขอเรียนว่า เรื่องนี้ทางอัยการไม่ได้มีการปล่อยปละละเลย จากตนที่ได้อธิบายเป็นขั้นเป็นตอนจะเห็นได้ว่าในระหว่างดำเนินการที่เรารับสำนวนมาเป็นช่วงหลังเกิดเหตุถึง 8 ปีกว่า ซึ่งเราจะสั่งคดีเลยก็ไม่ได้ เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม พอเราสั่งเด็ดขาดช่วง ก.พ.62 เราก็มีการเร่งรัดที่จะฟ้องมาตลอดอย่างกรณี นายญัฐวุฒิ, จตุพร ก็เลื่อนหลายครั้ง จนมาฟ้องชุดแรกได้ 15 มี.ค.62 และชุด 2 ที่นายอดิศรวันที่ 2 เม.ย. ส่วนแรมโบ้ไม่มา เราก็ดำเนินการตามขั้นตอนอย่างละเอียด เราไม่ได้ปล่อยปละละเลยแน่นอนคดีนี้ที่เราไม่ได้ตัวมาฟ้องจนหมดอายุความก็จะมีสุภรณ์กับจักรภพ ที่หนีไปต่างประเทศ การไปตามจับก็ไม่ใช่หน้าที่ของอัยการ แต่เราทำตามขั้นตอนทุกอย่าง ส่วนเรื่องจะมีการตั้งสอบสวนอัยการเจ้าของสำนวน และตำรวจหรือไม่ขณะนี้ยังไม่มีรายงานมา ซึ่งอัยการเจ้าของสำนวนก็ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่อยู่แล้ว”

สิ่งที่น่าจับตาในคดีนี้คือ เหตุใดตำรวจจึงจับกุมตัวผู้ต้องหาคนดังผู้นี้มาส่งตัวให้อัยการฟ้องศาลในอายุความไม่ได้ ทั้งที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย?…

จากเหตุการณ์อันน่ากังขาของประชาชนทั่วไปดังกล่าว ผู้เขียนจึงอยากหยิบยกขึ้นมาเป็นเคสการศึกษา เพื่อนำไปพิเคราะห์ว่าจะเป็นช่องโหว่ของกฎหมายหรือไม่? ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างไม่น่าจะเป็นขึ้น อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

ทั้งนี้ ถ้าพิเคราะห์จากกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 52 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “การที่จะให้บุคคลใดมาที่พนักงานสอบสวนหรือมาที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือมาศาลเนื่องในการ สอบสวน การไต่สวนมูลฟ้อง การพิจารณาคดี หรือการอย่างอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ จักต้องมีหมายเรียกของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือของศาล แล้วแต่กรณีฯ” นั้น

ผู้เขียนเห็นว่า ถ้าหากมีการแก้ไขบทบัญญัติกฎหมายมาตรา 52 วิ.อาญา โดยการเสริมเพิ่มข้อความบางตอน ด้วยการเพิ่มคำว่า “พนักงานอัยการ” เข้าไปในบทบัญญัติดังกล่าวเพียงบทเดียวเท่านั้น อัยการก็จะมีอำนาจขอหมายศาลและดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาได้ทันเหตุการณ์ ทั้งนี้ หากมีผู้เชี่ยญชาญด้านกฎหมายวิธีสบัญญัติ ช่วยกันพิเคราะห์การพิจารณาแก้ไขบทบัญญัติใน ม.วิ.อาญาใหม่ ย่อมจะก่อเกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองมิใช่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามารถแก้ปัญหากรณีตำรวจกล่าวอ้างไม่อาจจับกุมเช่นคดีนี้ หรือจงใจละเลยไม่จับกุม

ผู้ต้องหา มาส่งอัยการเพื่อฟ้องศาลให้ทันเวลา จนเกิดความเสียหายทำให้คดีขาดอายุความในที่สุด

จะเห็นได้ว่า อารยประเทศ อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา, ประเทศญี่ปุน และประเทศเกาหลีใต้ ต่างก็มีกฎหมายให้อำนาจอัยการมีบทบาทในการจับกุมผู้ต้องหาอย่างทันท้วงที ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าหากมีการแก้บทบัญญัติดังกล่าวแล้วไซร้ จะสามารถทำให้การดำเนินคดีจับตัวผู้ต้องหาในดคีอาญาต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น อันเป็นผลดีต่อความสงบสุข ของประเทศชาติ ทั้งนี้ ถ้าหากยังไม่มีการแก้ไขให้อัยการมีอำนาจจับกุมในบางกรณีที่เร่งด่วนจำเป็นแล้ว คดีขาดอายุความก็จะอุบัติขึ้นให้เห็นตามมาเรื่อยๆ อย่างน่าเป็นห่วง

ดังนั้น โดยบทความนี้จึงใคร่ขอนำเรียนเสนอต่อท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และท่านวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย ซึ่งมีหน้าที่ในการตรากฎหมาย เพื่อประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรม ได้โปรดพิเคราะห์พิจารณาประเด็นดังกล่าวด้วย

ย่อมเป็น “คุณากร” ของบ้านเมือง…ว่าไหม?

ไพรัช วรปาณิ
กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image