ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
โบราณว่าจิ้งจกทักยังต้องฟัง
ฉะนั้น เมื่อผู้รู้แสดงความเห็นและข้อมูลประกอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องปากท้องและเศรษฐกิจ อันกระทบถึงทุกชีวิตในสังคม
ก็ยิ่งต้องฟัง
แม้ความเห็นนั้นจะบาดหูบาดใจผู้มีอำนาจทั้งหลายก็ตาม
นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากการทำรายงานเศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุดของเวิลด์แบงก์ พบว่า
เศรษฐกิจไทยมีทิศทางเติบโตลดลง จากการส่งออกและภาคบริการที่ชะลอตัวลง หลังผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ทำให้เวิลด์แบงก์มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยลงเหลือร้อยละ 3.5 จากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 3.8
ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวลดเหลือร้อยละ 2.2 จากเดิมร้อยละ 5.7
แต่ยังคาดหวังว่า การลงทุนภาคเอกชนและการใช้จ่ายของภาครัฐที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจก็มีความเสี่ยงที่จะต่ำกว่าเป้าหมายที่มองไว้เช่นกัน โดยเฉพาะจากปัจจัยสงครามทางการค้า ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการส่งออกมากกว่าที่ประเมินไว้
รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง เพราะรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลผสม
ดังนั้น อาจนำมาสู่ความไม่แน่นอนในโครงการลงทุนภาครัฐได้
ขณะที่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2019 เหลือขยายตัวเพียงร้อยละ 3.1 จากประมาณการเดิมร้อยละ 3.3
สาเหตุหลักจากภาคการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะสงครามการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ
เพราะเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปียังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง
โดยเฉพาะภาวะสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ที่มีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ผลที่เกิดขึ้นข้างต้นทำให้การส่งออกสินค้าในปีนี้มีแนวโน้มหดตัว
ภาวะดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านภาคการท่องเที่ยวอีกด้วย โดยจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มเดินทางเข้าไทยน้อยลง
โดยปีนี้การท่องเที่ยวไทยน่าจะมีอัตราเติบโตร้อยละ 4.8 หรืออยู่ที่ประมาณ 40.1 ล้านคน ลดลงจากเดิมที่โตร้อยละ 6.3
เนื่องจากนักท่องเที่ยวในช่วง 5 เดือนแรกชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด และปัจจัยอื่นๆ เช่น สนามบินของไทยได้ใช้ศักยภาพเต็มที่แล้ว
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังส่งผลทางลบต่อผู้ประกอบการท่องเที่ยวและผู้ส่งออกด้วย
โดย SCB EIC วิเคราะห์ว่าในกรณีพื้นฐานเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ที่ร้อยละ 3.1 ส่วนการส่งออกสินค้าจะหดตัวที่ร้อยละ -1.6
ขณะที่กรณีเลวร้าย การส่งออกสินค้าจะปรับตัวลดลงไปอีกที่ร้อยละ -2.3 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะการบริโภคในประเทศมีการชะลอลงตาม
อย่างไรก็ดี SCB EIC คาดว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และ กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือร้อยละ 1.5
คาดว่ากรณีเลวร้ายนี้ GDP ไทยจะเติบโตร้อยละ 2.9
ส่วนในกรณีเลวร้ายที่สุด การส่งออกสินค้าจะหดตัวมากถึงร้อยละ -3.1 แม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐเพิ่มเติม แต่การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนก็จะลดลง
ซึ่งในกรณีนี้ เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2.7
ถามว่ารัฐบาลที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งรู้ข้อมูลเหล่านี้หรือไม่
คำตอบคือรู้ยิ่งกว่ารู้
แต่รู้แล้วจะทำอย่างไร จะกอบกู้อย่างไร และจะนำพาสังคมผ่านภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย” นี้ไปได้อย่างไร
นี่ต่างหากที่ชาวบ้านร้านตลาดอยากฟัง