การเมืองสร้างสรรค์ : โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์

ติดตามฟังการประชุมรัฐสภานัดรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงนโยบาย 2 วันเต็มๆ ได้รับฟังทั้งที่เป็นเนื้อหาสาระ และสีสันบรรยากาศ สะท้อนให้เห็นว่าการเมืองไทยพัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง

ไม่ว่าจะเรียกว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือประชาธิปไตยจอมปลอมก็ตาม ความรู้สึกอึดอัดขัดข้อง เสรีภาพซึ่งถูกกดทับ จำกัด ปิดกั้นในยุคมาตรา 44 คลี่คลายลงไปเพราะไอน้ำได้ระบายออกจากพวยกา

ส.ส.พรรคฝ่ายค้านเห็นตรงข้ามกับรัฐบาลได้แสดงออก วิพากษ์วิจารณ์หัวหน้ารัฐบาลอย่างเต็มที่ หนักหน่วง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในเวทีเปิดเช่นนี้ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

คำอภิปราย ท่วงทีวาจา กิริยามารยาทเหมาะสมหรือไม่แค่ไหน หรือแม้กระทั่งการแสดงอาการโมโห ฉุนเฉียว หน้าดำ หน้าแดงของผู้นำรัฐบาล ตอบโต้สวนกลับฝ่ายค้านอย่างเผ็ดมันถึงลูกถึงคน เป็นบรรยากาศประชาธิปไตย ซึ่งยังไม่ดุเดือดรุนแรงเหมือนสภาในต่างประเทศบางแห่งถึงขั้นหยิบรองเท้าปาหัวผู้อภิปรายฝ่ายตรงข้ามก็มีให้เห็นมาแล้ว แต่ประชาธิปไตยในบ้านเขาก็ยังดำเนินต่อไป

Advertisement

รัฐสภาไทยแสดงได้ถึงระดับนี้ก็ถือว่าเป็นสภาวะปกติ ที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ตัดสินเอง ควรให้คะแนนฝ่ายไหนมากกว่า

หากอดทนให้เวลากับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ถึงเวลาอีกไม่กี่ปี เปลี่ยนทีโดยไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ กระบอกปืนมาเป็นเครื่องตัดสิน สิ่งที่เกิดขึ้นจะพัฒนาไปตามลำดับ เสาเข็มรากฐานของประชาธิปไตยไทยก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแน่นอน

การประชุมอภิปรายในครั้งนี้จะพบว่ามีทั้งนักการเมืองรุ่นใหม่น้ำดี มีความรู้ ดีกรีนักเรียนนอกแต่เข้าใจสังคมไทย มีความสามารถอภิปรายได้เนื้อหาสาระหลายต่อหลายคน เป็นความหวังของสังคมไทยและรัฐสภาไทยต่อไปได้

ดังที่ผลสำรวจของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล สำรวจความพึงพอใจของประชาชนที่ติดตามการประชุม นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายปิยบุตร แสงกนกกุล พรรคอนาคตใหม่ เป็นต้น

โดยเฉพาะคำอภิปรายของนายพิธาว่าด้วยปัญหาการเกษตรของไทยกับกระดุมห้าเม็ด สาระมุมมองข้อเสนอแนะสร้างสรรค์ ลึกซึ้ง คมเฉียบ หรือคำอภิปรายตอนท้ายของนายปิยบุตร ที่สะท้อนความในใจของพวกเขา คนรุ่นใหม่ที่มีความรัก ความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง รักและเทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ

พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของชาติ ไม่ใช่พวกชังชาติ เพียงแต่อยากเห็นสังคมไทยเดินหน้าไปด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน เคารพความเห็นที่แตกต่าง มีความรักให้กันแทนที่จะเป็นการสร้างความเกลียดชัง ขับไสไล่ส่ง

ที่น่าชื่นชมไม่แพ้กันในฝ่ายรัฐบาลมีผู้ใหญ่ที่แสดงออกเป็นแบบอย่างที่ดี อาทิ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบคำถามชี้แจงคำอภิปรายของนายพิธาแต่ละประเด็นได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แสดงความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเข้าใจผู้อ่อนอาวุโสกว่า กล่าวขอบคุณและชื่นชมหลายครั้งหลายหนโดยไม่เคอะเขิน ไม่ติดข้องว่าเป็นฝ่ายค้าน หรือเป็นเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานแต่อย่างใด

ภาพทั้งสองคนส่งยิ้มให้กันและกัน ยกมือไหว้ตอบขอบคุณอีกฝ่ายอย่างบริสุทธิ์โดนใจผู้ชมทางหน้าจอทีวีอย่างท่วมท้น แสดงถึงบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตย ความเป็นคนไทย ความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ว่าผู้อาวุโสหรือผู้อ่อนกว่า แต่เน้นเนื้อหาเข้มข้นเกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมเป็นหลัก

ครับ การเมืองคือเกมแห่งอำนาจก็จริง แต่เมื่อผู้เล่นทำให้เกมแห่งอำนาจเป็นเกมที่สร้างสรรค์ ไม่ได้มุ่งตัดสินแพ้ชนะกันเพียงคะแนนหรือจำนวนมือที่มากน้อยกว่ากันเท่านั้น

แต่ตัดสินกันที่สาระประโยชน์ที่คนส่วนใหญ่จะได้รับ ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ท้วงติง ที่มีคุณค่าเป็นสำคัญ

ถ้าสถาบันการเมืองไทย สถาบันรัฐสภา มีความรัก ความเข้าใจ ความปรารถนาดีที่มีต่อสังคมส่วนใหญ่ ไม่ใช่ความต้องการเอาชนะ คะคาน โค่นล้มอีกฝ่ายลงจากบัลลังก์อำนาจเพื่อตัวเองจะก้าวขึ้นไปแทนเป็นสรณะ สภาวะเสียงปริ่มน้ำแต่ไปรอดอาจจะเป็นอีกสถานการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นได้ โดยมีเงื่อนไขว่าผู้นำต้องปรับเปลี่ยนตัวเองได้จริง ไม่กลายเป็นตัวตลกทางการเมืองโดยไม่รู้ตัว

การเปิดกว้างทางความคิด การยอมรับฟังความเห็นต่างอย่างเป็นผู้ดีด้วยอาการสงบนิ่ง ไม่หงุดหงิด ตัดขัด แสดงสีหน้าท่าทางไม่ต่างไปจากอีกฝ่ายที่ตัวเองตำหนิติเตียน

ความอดกลั้น อดทน มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสีสันบรรยากาศประชาธิปไตย เป็นเรื่องปกติ ที่อื่นยิ่งกว่านี้ จะทำให้บรรยากาศและสาระการอภิปรายบรรลุเป้าหมาย เกิดประโยชน์

ที่สำคัญเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับความเป็นประชาธิปไตยไทยที่มั่นคง เพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืนได้จริงอย่างที่ป่าวประกาศมาตลอด นั่นเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image