ทั้งๆ ที่ในเบื้องต้นพรรคพลังประชารัฐระบุ ไม่ว่า นายวิรัช รัตนเศรษฐ ไม่ว่า นายวิเชียร ชวลิต ล้วนสามารถนั่งในตำแหน่งประธานกรรมาธิการการศึกษากระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้
แต่พลันที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันส่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
น้ำเสียงของพรรคพลังประชารัฐแม้ 1 จะยืนยันความชอบธรรมพรรคที่เป็นแกนกลางของรัฐบาล แต่ 1 เริ่มมีการเอ่ยถึงนามของ นายสุชาติ ตันเจริญ ขึ้นมา
เท่ากับจะเอา นายสุชาติ ตันเจริญ มาสู้กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่ว่าจะพิจารณาจากด้านของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะพิจารณาจากด้านของพรรคพลังประชารัฐล้วนชี้ให้เห็นว่าต้องสู้กันเอง
เพราะแม้สัดส่วนฝ่ายค้านจะมี 19 แต่จะไปสู้อะไรกับ 30 ของรัฐบาล
พลันที่มีความพยายามผลักรุน นายสุชาติ ตันเจริญ เข้ามาเป็นแคนดิเดต บรรยากาศการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรก็เด่นชัดขึ้น
จำเป็นต้องจับตา “กลยุทธ์” ของ “ประชาธิปัตย์”
การผลักดัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ามาในตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการครั้งนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากการผลักดัน นายชวน หลีกภัย ขึ้นเป็นประธานสภา
เบื้องต้น นายสุชาติ ตันเจริญ อาจมั่นใจ
แต่พอมติของพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันนามของ นายชวน หลีกภัย ผลก็คือ นายสุชาติ ตันเจริญ ต้องประสบปัญหาทั้งในพรรคพลังประชารัฐและจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่น
เพราะยากยิ่งที่จะมีบารมีเทียบกับ นายชวน หลีกภัย
มาหนนี้แม้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะอาวุโสน้อยกว่า นายสุชาติ ตันเจริญ แต่หากมองไปยังตำแหน่งและสถานะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เหนือกว่า
เหนือกว่าในฐานะที่เคยเป็น “นายกรัฐมนตรี”
ยิ่งกว่านั้น หากมองอย่างเปรียบเทียบระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์ ระหว่าง นายสุชาติ ตันเจริญ กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
“ลักษณ์” และสายสัมพันธ์ต่อ “รัฐธรรมนูญ” ก็ต่างกัน
หากผลออกมาจากทางด้านของรัฐบาลว่าตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญคือ นายสุชาติ ตันเจริญ นั่นเท่ากับเป็นการประกาศ
ประกาศว่า “ล้มเหลว” แน่นอน
ความล้มเหลวในที่นี้ไม่จำเป็นต้องมองไกลไปยังการเกิดขึ้นของบทสรุปและแนวทางในการแก้ไขเพิ่มเติมอันเป็นเป้าหมาย
หากแม้กระทั่ง “คณะกรรมาธิการ” ก็ไม่สามารถเกิดขึ้น
เพราะไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ ล้วนไม่เคยมีความคิดที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอีก
เนื่องจาก “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ DESIGN มาเพื่อพวกเรา” มิใช่หรือ
ตรงกันข้าม หากเปิดทางให้เกิดคณะกรรมาธิการ และไว้วางใจให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่งอยู่ในฐานะประธานยังพอจะสร้างความหวังในเรื่องการแก้ไขบ้าง
แม้จะเป็นไปอย่างปะผุอย่างแกนๆ ก็ตาม
กรณีของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ทันทีที่เป็นเงื่อนไขของพรรคประชาธิปัตย์ ทันทีที่รัฐบาลโดยพรรคพลังประชารัฐยอมรับและบรรจุเป็น 1 ในนโยบาย “เร่งด่วน”
นี่คือ “บ่วง” ที่พันอยู่รอบคอ
รัฐธรรมนูญจะกลายเป็นปัจจัย กลายเป็นประเด็นคอยตรวจสอบรัฐบาล ตรวจสอบพรรคพลังประชารัฐ ตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะดำเนินการอย่างไร
ทำหรือไม่ทำ ก็เหนื่อย