ไม่ว่าการออกมาของ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ไม่ว่าการออกมาของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ไม่ว่าการออกมาของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ
ยืนยันตำแหน่ง “ประธาน” กรรมาธิการแก้ไข “รัฐธรรมนูญ”
ต้องเป็นของพรรคเสียงข้างมากในรัฐบาล นอกจากให้ความหมายว่าต้องเป็นของพรรคพลังประชารัฐอันเป็นพรรคแกนนำในรัฐบาลแล้ว
ในอีกด้านหนึ่งจึงเท่ากับเป็นการปฏิเสธคนของพรรคร่วมรัฐบาลอื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลและแสดงออกผ่านมติพรรคพร้อมกับการเลือก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ามาเป็นกรรมาธิการ
และต้องการให้เป็น “ประธาน”
ความหมายจึงหมายความว่า พรรคพลังประชารัฐปฏิเสธ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปฏิเสธความต้องการของพรรคประชาธิปัตย์
ท่าทีของพรรคพลังประชารัฐอย่างนี้ “ได้” หรือว่า “เสีย”
คําถามแรกอันมาพร้อมกับคำตอบนี้ก็คือ คำถามถึงบทบาทของพรรคพลังประชารัฐเปรียบเทียบกับบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์
พรรคใดต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
นับแต่แรกที่พรรคพลังประชารัฐก่อรูปเป็นพรรคการเมืองไม่เคยมีท่าทีใดๆ อันแสดงว่าต้องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
มีแต่ยืนยัน “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ DESIGN มาเพื่อพวกเรา”
มีแต่ยืนยัน “รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี” โดยเฉพาะอย่างยิ่งมี 250 ส.ว.เป็นรากฐาน
การเสนอตัวเป็น “ประธาน” ของพรรคพลังประชารัฐจึงเท่ากับเป็น “ตลกร้าย”
เป็นความย้อนแย้งที่มีแต่สร้างภาพให้ชาวบ้านมีความโน้มเอียงที่จะรู้สึกว่า พรรคพลังประชารัฐต้องการไปสกัดขัดขวางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
เบื้องต้นก็คือ ไปขัดขา “ประชาธิปัตย์”
พรรคพลังประชารัฐเองก็รู้อยู่เป็นอย่างดีว่า นโยบายการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีรากฐานความเป็นมาอย่างไร
นี่เป็นข้อเสนอ “ประชาธิปัตย์” ไม่ใช่ “พลังประชารัฐ”
นี่เป็นเงื่อนไขที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการต่อรองและกำหนดเป็น “เงื่อนไข” ในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ
และเมื่อพรรคพลังประชารัฐ OK พรรคประชาธิปัตย์จึงตอบรับ
ตอบรับด้วยการขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีในการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน
นโยบายนี้จึงมาจาก “ประชาธิปัตย์” มิใช่ “พลังประชารัฐ”
การกีดกันพรรคประชาธิปัตย์ การกีดกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการจึงเข้ากับนิทานอีสปเรื่องหมาหวงรางหญ้า
จึงยิ่งหวง ก็จะยิ่งเป็นผลเสีย
หากมองตาม “กฎแห่งกรรม” นี่เป็นกรรมร่วม เป็นกรรมหมู่อันมาจากข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์
โดยที่พรรคพลังประชารัฐ “จำยอม”
และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมที่พรรคประชาธิปัตย์ทวงคำสัญญาและมุ่งมั่นจะเดินหน้า พรรคพลังประชารัฐกลับไม่สุกงอม กลับจะเป็นเอง
รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเพื่ออะไรก็ยังยืนยันจะเป็น