2563 : แม้หวั่นหวาดยังมีความหวัง : โดย กล้า สมุทวณิช

เป็นโอกาสดีนานๆ ครั้งที่คอลัมน์ “คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง” จะตีพิมพ์เผยแพร่ในวันปีใหม่แบบพอดีๆ แม้หลายคนอาจจะมองว่าปีใหม่นี้ออกจะเป็นปีที่เจือบรรยากาศแห่งความรู้สึกไม่มั่นใจใน “อนาคต” ที่กำลังจะมาถึงก็ตาม

โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่เห็นภาพชัดว่าปีหน้าคงหนักแน่ และทางภาครัฐเองก็เริ่มที่จะยอมรับ เพราะสำหรับรอบนี้ผู้รู้หลายสำนักวิเคราะห์ไว้ตรงกันว่า ปัญหานั้นจะมาจากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกที่ชะลอตัวลง

ประกอบกับความขัดแย้งทางการเมืองถึงขนาดการประท้วงปะทะกันในหลายต่อหลายมุมโลก หากเราถอดรื้อปัจจัยและบริบทที่แตกต่างกันออกไปแล้ว จะพบจุดร่วมอย่างหนึ่งที่ตรงกัน คือความเหลื่อมล้ำที่ถ่างช่องว่างอย่างน่ากลัว ที่คนมีเงินและเงินนั้นก็จะดึงดูดเงินเข้าหามันอย่างไม่รู้จบ ในขณะที่คนไม่มีเงินหรือมีเงินน้อยกว่าก็จะเป็นฝ่ายถูกดูดออกไปข้างเดียว

และไม่ต้องพูดถึงปัจจัยภายในของไทยเราเองที่อ่อนแอลงทุกด้าน ซึ่งมีที่มาจากปัญหาทางการเมืองที่ครอบงำเกาะกุมอยู่เกินทศวรรษ

Advertisement

แม้เราอาจจะเคยได้ยินคนพูดทำนองว่าปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริงมาแล้วสองสามปีก่อนหน้านี้จนดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่สถานการณ์ก็คล้ายว่าเราจะถูกเชิญขึ้นเมรุพร้อมดอกไม้จันทน์โดยยังไม่จุดไฟ ที่ทุกอย่างเหมือนจะลงไปไม่สุดก็เพราะเรายังมีความหวังว่าเมื่อมีการเลือกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญเมื่อต้นปีที่แล้ว ก็อาจจะมีปัจจัยมาเปลี่ยนไปที่จะทำให้อะไรๆ มันดีขึ้น

คนบางฝั่งอาจจะฝันถึงการเปลี่ยนขั้วอำนาจไปเลย ในขณะที่คนอีกฝั่งหนึ่งก็อาจจะมองว่าตัวผู้ถืออำนาจเดิมต่อให้ไม่เปลี่ยน แต่เพราะการเลือกตั้งที่ยากจะหลีกเลี่ยงก็อาจจะทำให้ได้รัฐบาลที่ผสมไปด้วย นักการเมืองที่เป็น “มืออาชีพ” ที่มีประสบการณ์การบริหารด้านอื่นเข้ามาเพิ่มเสริมให้ฝ่ายผู้ถืออำนาจที่ยังรักษาความมั่นคงทางการเมืองไว้ และผ่องถ่ายอำนาจแบบค่อยเป็นค่อยไปก็อาจจะดีกว่า

แต่เมื่อปรากฏว่าผลการเลือกตั้งออกมาค่อนข้างผิดคาด และผู้ถืออำนาจอยู่เดิมทำทุกทาง เพื่อที่จะให้ได้ครองอำนาจต่อไปตามกติกาที่ร่างเอง กำหนดเอง และตีความโดยพรรคพวกกันเอง ฝ่ายนักการเมืองที่ลากดึงมาเข้าร่วมก็เป็นเพียงให้ได้ครบจำนวนทำหน้าที่เป็นฐานรองอำนาจแลกกับผลประโยชน์ แต่กลุ่ม “ตัวละครหลัก” ที่มีอำนาจขับเคลื่อนทางการเมืองก็ยังไม่เปลี่ยนไป

ซ้ำร้ายการได้สืบทอดอำนาจด้วยวิถีทางที่เต็มไปด้วยคำถามว่า ด้วยความชอบธรรม การรักษาอำนาจแบบใช้ต้นทุนทุกอย่างแบบไม่เหนียม และต้นทุนทั้งหมดนั้นคือความเชื่อมั่นในสถาบันผู้ใช้อำนาจรัฐ รวมถึงทรัพยากรและเวลาของประเทศด้วย

นอกจากเรื่องเศรษฐกิจและอำนาจทางการเมืองแล้ว เรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองก็เหมือนจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากยุคอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียเท่าไร แม้คณะรัฐประหารจะสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีกลไกของรัฐที่เข้ามารับช่วงไปหมดทั้งอำนาจและผู้ใช้อำนาจ เรียกว่าพวกฝ่ายปฏิบัติการนั้นเป็นคนเดิมเปลี่ยนแค่ชื่อตำแหน่ง การใช้อำนาจทางการเมืองยุคหลังจากการสิ้นผลไปของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 44 ก็ปรากฏว่ายังมีช่องทางการใช้อำนาจตามใจชอบที่ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก ด้วยการอาศัยอำนาจเท่าที่เป็นไปได้ตามรัฐธรรมนูญ

และแม้ว่าจะไม่มีคำสั่ง คสช.ที่เข้มงวดกวดขันกับการแสดงออกทางการเมืองแล้วก็ตาม แต่สำหรับฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใช้อำนาจเหล่านั้นก็ยังคงดำเนินบทบาทเดิมอยู่ต่อไป สมัย คสช.เป็นอย่างไร สมัยนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น ยังมีการเข้าไปรบกวนขัดขวางการทำกิจกรรมทางการเมือง โดยการอ้างกฎหมายที่มีเท่าที่เป็นไปได้บ้าง หรือไม่อ้างกฎหมายอะไรเลยบ้างก็ได้ เช่นที่กิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ที่ถูกรบกวนขัดขวางแทบทุกทาง ทั้งตามกฎหมายและนอกกฎหมาย

ทั้งหมดทั้งมวล นอกจากที่นายกฯและตัวละครสำคัญๆ ยังเป็นคนหน้าเดิม การใช้อำนาจยังเหมือนเดิมแล้ว เราก็อาจจะรู้สึกสิ้นหวังว่า แม้จะมีการเลือกตั้งแล้ว แม้จะใช้รัฐธรรมนูญอย่างเต็มรูปแบบแล้ว แต่สภาพการณ์ก็ไม่ผิดอะไรจากสี่ห้าปีภายใต้การปกครองก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะดูเหมือนไม่แตกต่างจากเดิมเท่าไร

ประกอบกับกระแสที่น่าเป็นห่วงบางอย่างที่เริ่มชัดเจนขึ้นโดยเฉพาะช่วงปลายปี ที่มีการโหมกระแสชาตินิยมจนเกินเลยไปสู่การเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งแม้เป็นไปเพื่อการต่อต้านหรือให้ร้ายพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง แต่การลงทุนใช้ประเด็นที่ล่อแหลมและอันตรายมากๆ เช่นนี้มาเล่นงานกัน ทั้งผ่านการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองที่ได้ชื่อว่าสนับสนุนวิถีทางที่ไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยนัก และจากผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นสื่อมวลชนสายทหารที่มีการเผยแพร่เนื้อหาข้อเขียนที่ปลุกกระแสความเกลียดชัง ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมของปีหน้านั้นน่ากลัวขึ้นไปอีก

ทั้งหมดที่กล่าวไปนี้ ทำให้ปี 2563 ที่เริ่มต้นในวันนี้อาจจะเป็นปีที่น่าหวั่นวิตก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คืออย่างน้อย เพราะการที่พวกเขาจะสืบทอดอำนาจได้ต่อไปนั้น จำเป็นจะต้องยอมให้มีการเลือกตั้งไปเมื่อปีที่แล้ว และไม่ว่าจะผ่านกระบวนการใดๆ ที่เหมือนจะเป็นอุปสรรคขัดขวางทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ด้วยกลไกขององค์กรอิสระต่างๆ ที่เหมือนจะไม่ค่อยเป็นใจ แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังมี “ผู้แทนราษฎร” ของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับผู้ครองอำนาจรัฐที่มาจากการรัฐประหาร และยังคงถืออำนาจนั้นต่อมาด้วยกลไกทางการเมืองอย่างที่กล่าวไป

และสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ การสิ้นไปของข้อได้เปรียบที่เป็นสาระสำคัญที่สุดของการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ยิ่งไปกว่าความสามารถใช้อำนาจอย่างรัฏฐาธิปัตย์ ก็คือการอยู่เหนือความรับผิดใดๆ ในทางการเมืองและในทางกฎหมาย ที่ได้รับการยกเว้นมาตลอดด้วยระบอบที่ใช้อำนาจพิเศษนั้น

การปลอดจากความรับผิดนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างไร ก็ถึงขนาดที่ว่าพวกเขายอมแลกด้วยราคาที่แสนแพงในตอนที่สภาผู้แทนราษฎรมีการลงมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการใช้ศึกษาผลกระทบจากประกาศ คำสั่ง และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ฝ่ายผู้มีอำนาจ ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยใช้อำนาจที่ปราศจากการตรวจสอบที่ว่านั้น ถึงกับต้องทำทุกอย่างเพื่อ “คว่ำ” การตั้งคณะอนุกรรมาธิการดังกล่าวให้ได้ ถึงขนาดขู่พรรคร่วมรัฐบาลที่ทำท่าจะแตกแถวว่าจะยุบสภา หรือการต้องแจกจ่าย “กล้วย” อย่างไม่อั้น และยอมให้บรรดางูเห่าที่ฝากไข่ไว้เปิดหน้าเผยตัว นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเพียงแค่การศึกษารื้อฟื้นที่ไม่อาจเอาผิดใดๆ ได้ก็ตาม แต่แค่นั้นก็เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่อาจยอมได้เลย

เมื่อสองปัจจัยที่แตกต่างนี้ประสานกัน ทำให้แม้ว่าพวกเขาจะสามารถใช้อำนาจแบบมาตรา 44 ได้ด้วยการออกกฎหมายได้ตามใจไม่ต้องผ่านกระบวนการนิติบัญญัติในรูปของพระราชกำหนด แต่พระราชกำหนดนั้นก็จะต้องนำมาให้สภา “ผู้แทนราษฎร” อภิปรายและลงมติว่าจะอนุมัติให้ใช้กฎหมายนั้นต่อไปได้หรือไม่

เรามีกรรมาธิการที่มีอำนาจเรียกตัว “เบอร์ใหญ่” ระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพมาชี้แจงได้แบบที่ใหญ่คับฟ้าเหรียญตราเต็มเสื้อก็ไม่กล้าอิดออด ไม่ต้องพูดถึงระดับรองหรือผู้ปฏิบัติการที่มีชื่อเสียงคุ้นหูในช่วงของการใช้อำนาจพิเศษนั้น ก็ต้องถูกเชิญมาให้ “ผู้แทนราษฎร” ไต่สวนสอบถาม

เพราะเดิมที่การปลอดความรับผิดนี้เคยเผื่อแผ่มายังผู้ปฏิบัติตามหรือรับคำสั่งจากผู้มีอำนาจพิเศษดังกล่าวด้วย หากในตอนนี้แม้พวกเขาอาจจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงไปรบกวนขัดขวางการทำกิจกรรมทางการเมืองได้ แต่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ไม่ได้รับภูมิคุ้มกันทางกฎหมายอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นถ้าเขาทำอะไรไปนอกเหนือจากกรอบขอบเขตของกฎหมาย ก็ย่อมมีความรับผิดทางอาญา ทางปกครอง หรือทางแพ่ง

แม้ว่าอาจจะไม่ถูก “เช็กบิล” ได้ง่ายๆ ในวันนี้ด้วยปัจจัยเอื้อหนุนอย่างที่รู้กัน แต่ตราบใดที่คดียังไม่หมดอายุความ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ไม่ใช่จะปลอดภัยไร้กังวลเหมือนสมัยที่มี “อำนาจพิเศษ” คุ้มครองอยู่ รวมไปถึงการใช้อำนาจเพื่อบิดเบือนกฎหมายอย่างชัดเจนที่ปรากฏหลายเรื่องที่ยังเอาผิดไม่ได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่แน่ว่าภายใต้อายุความที่ยาวนานถึง 20 ปี ระหว่างนี้พวกเขาก็คงจะยังไม่ถึงกับ “ปลอดภัย” หายห่วงนัก

ส่วนความพยายามในการสร้างกระแสความเกลียดชังอย่างล้ำเส้นของพวกความคิดตกยุคนั้น ก็มีช่องทางการตอบโต้แบบทันทีทันควันได้ด้วยวิธีเดียวกันกับที่เผยแพร่ข้อความที่น่ารังเกียจนั้นมา และไม่ว่าจะเป็นตัวกระบอกเสียง หรือไอ้โม่งเบอร์ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง ก็ไม่มีข้อยกเว้นที่จะถูกจวกกลับโต้คืนให้เสียรังวัดแบบไม่เกรงใจชื่อชั้นยศตำแหน่ง

ทั้งหมดนี้อาจจะบอกเราได้ว่า แม้อำนาจยังอยู่ข้างพวกเขาอยู่มาก แต่ทางนี้ก็ไม่ได้แย่หรือเสียเปรียบจนเกินไปนัก เรายังมีช่องทางให้โต้กลับเอาคืน ทั้งในวันนี้และในอนาคต

สำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรม ก็คงจะขอให้ทุกท่านรักษาภูมิคุ้มกันของตัวเองไว้ ทำตัวเราให้เข้มแข็งที่สุดในทุกๆ ด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้อย่างน้อยตัวเราก็อยู่รอดต่อไปได้อีกปีอย่างไม่เดือดร้อนเจ็บไข้เกินไป รวมถึงรู้สิทธิและช่องทางการตอบโต้ที่ชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีที่ถูกรบกวนรังแกจากอำนาจรัฐ หรือแม้แต่จากผู้คนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งซึ่งอาจจะย่ามใจมาละเมิดสิทธิเรา

และถ้าเป็นไปได้ เราก็เผื่อแผ่ความ “รอด” นั้นต่อไปให้คนอื่นเท่าที่เป็นไปได้ อุดหนุนจุนเจือคนแบบเดียวกับท่าน คนที่คิดอย่างเดียวกับเรา ให้เขาอยู่ได้ รวมถึงเมตตาผู้ที่ด้อยกว่าในทุกฝั่งฝ่ายเพราะแท้จริงแล้ว เราคือราษฎร และเรามิใช่ศัตรูของกันและกัน

ในภาพยนตร์ Star Wars ภาคล่าสุด มีข้อความประโยคหนึ่งที่กินใจตอนที่ตัวละครสำคัญซึ่งเป็นนักบินของฝ่ายต่อต้านเล่าเหตุการณ์ให้มิตรสหายเก่าที่ดาวบ้านเกิดของเขาฟังถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าว่า ฝ่ายต่อต้านไม่เหลือใคร และไม่มีใครมาช่วยพวกเขาอีกแล้ว

ตัวละครเพื่อนเก่าคนนั้นกล่าวว่า “They win by making you think you are alone. – พวกเขาชนะเพราะทำให้พวกเธอคิดว่าไม่มีพวกพ้องอีกแล้ว”

ทุกกิจกรรม ทุกความเคลื่อนไหวของผู้เชื่อในอุดมการณ์เดียวกันจากนี้ จึงเป็นไปเพื่อให้ผู้คนที่คิดแบบเดียวกันได้เห็นว่า ยังมีคนคิดแบบเดียวกันและมีพวกพ้องของเราอยู่ที่ไหน และมากเพียงไร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image