ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
บาทแข็งฟาดหาง เศรษฐกิจปากท้อง รัฐบาลตาปริบๆ
ข่าวชวนกังวลด้านเศรษฐกิจตามมาตบท้ายสิ้นปี 2562
เมื่ออัตราแลกเปลี่ยน-ค่าเงินบาทปิดตลาดวันทำการสุดท้ายของปี (30 ธันวาคม) เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทะลุระดับจิตวิทยา 30 บาท/ดอลลาร์
มาปิดที่ 29.92 บาท/ดอลลาร์
แข็งที่สุดในรอบ 6 ปี
แข็งที่สุดในทวีปเอเชีย
ในขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยเกือบจะต่ำที่สุดในทวีป
ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นนั้น ส่งผลกระทบโดยตรงกับการส่งออก การท่องเที่ยว และภาคเกษตร
จากผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ 2562
จำนวนประชากรที่มีงานทำของไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 37 ล้านคน
ในจำนวนนี้อยู่ในภาคการเกษตร 11.15 ล้านคน
รองลงมาคือภาคการขายส่ง 6.47 ล้านคน
ภาคการผลิต 6.17 ล้านคน
และภาคการท่องเที่ยว 3.03 ล้านคน
ถ้าภาคการผลิต (คืออุตสาหกรรม) กว่าครึ่งของไทยยึดโยงกับการส่งออก
แปลว่ามีคนไทยในวัยทำงานอย่างน้อย 20 ล้านคน ได้รับผลกระทบโดยตรงจากค่าเงินบาท
นี่คือ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด
หรือมากกว่าครึ่งของประชากรในวัยทำงาน
ถ้ารายได้ของคนกลุ่มนี้ลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้น
จะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจโดยรวม
สภาการผู้ส่งออกทางเรือ ระบุว่า ตัวเลขการส่งออก 11 เดือนของปีที่ติดลบเป็นเพราะค่าเงินบาท
“แข็งเกินจริง”
ในภาคการท่องเที่ยวก็เช่นกัน
ปีที่แล้วทั้งปี มีนักท่องเที่ยวเข้าเมืองไทย 38.1 ล้านคน
ปีนี้แทนที่จะโตได้ตามเป้าร้อยละ 6-7
จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าเมืองไทยมาถึงสิ้นปีคือ 39 ล้านคน
คนในธุรกิจการบิน การโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอื่นๆ
ชี้นิ้วไปที่ค่าเงินบาทแข็งตรงกันหมด
โดยเฉพาะกับตลาดจีน ที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดของไทย
เมื่อบาทแข็ง แต่หยวนอ่อน
คิดแล้วต้นทุนมาเที่ยวเมืองไทยแพงขึ้นร้อยละ 20
นักท่องเที่ยวจีนก็เบนหัวไปเวียดนามกับฟิลิปปินส์
ถามว่าใครต้องรับผิดชอบเรื่องค่าเงินบาท
คำตอบคือรัฐบาลกับแบงก์ชาติ
เอาที่แบงก์ชาติก่อน
ฟากแบงก์ชาติตั้งแต่หัวยันหาง ท่องคาถาออกมาเป็นคำเดียวกันว่า
จะต้องรักษาเสถียรภาพ จะต้องดูแลเป้าหมายเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ควบคุมได้
ขณะที่อีกซีกหนึ่งของเศรษฐกิจคืออัตราการเจริญเติบโต เหมือนไม่อยู่ในสายตา
ในขณะที่รัฐบาลก็ได้แต่บ่น แต่ไม่สามารถดำเนินการอะไรกับแบงก์ชาติได้
เพราะมีการแก้ไขกฎหมายให้แบงก์ชาติเป็นอิสระ จนแทบไม่ต้องรับผิดชอบกับใคร
แทรกแซงนโยบายการเงินไม่ได้ แต่งตั้งผู้ว่าแบงก์ชาติได้
แต่ถอดถอนแทบจะไม่ได้ หรือไม่กล้าถอดถอน
แม้กระทั่งในยามที่ปากท้องชาวบ้านเดือดร้อน
แล้วภาวะ “บาทแข็งเกินจริง” ที่มีคนได้ประโยชน์หลักๆ อยู่สองกลุ่ม
คือผู้ซื้อสินค้าต่างประเทศ และผู้ไปเที่ยวจับจ่ายใช้สอยหรือซื้อทรัพย์สินในต่างประเทศ ขณะที่คนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบด้านลบ
จะเป็นอย่างไรต่อไปในปี 2563
ผู้บริหารแบงก์ชาติระบุว่า การแข็งค่าเป็นประวัติการณ์นี้เป็นเพียงภาวะ “ผันผวนชั่วคราว”
แต่ไม่ได้หมายเหตุให้คนทั่วไปทราบด้วยว่า ความ “ชั่วคราว” นี้ลากยาวกินเวลามาแล้วอย่างน้อย 2 ปี
โดยไม่มีเค้าลางว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในเรื่องนโยบายหรือทิศทางค่าเงิน
ความกังวลของตลาดก็คือ เมื่อนโยบายไม่เปลี่ยน ค่าเงินบาทก็ยังมีแนวโน้มแข็งตัวขึ้นต่อไป
ผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง ก็จะยิ่งรุนแรงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
โดยมีรัฐบาลที่ได้แต่นั่งทำตา ปริบๆ นั่งดู ไม่ได้ลงมือแก้ไขอะไรเช่นกัน
อนาคตเศรษฐกิจไทยและปากท้องชาวบ้าน
จึงแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ตั้งแต่ต้นปี 2563 เลยทีเดียว