บทนำ : รับสถานการณ์ให้ดี

ต้องยอมรับว่าขณะนี้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเริ่มส่งผลกับประเทศและประชาชนเป็นระลอก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง ปัญหาการเสียบบัตรแทนกันจนเป็นเหตุให้ต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ขัดกฎหมายหรือไม่ ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นเร็วและมีทีท่าว่าจะยืดเยื้อ ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เหตุเกิดจากประเทศอื่น แต่เนื่องจากโลกมีความเชื่อมโยงกัน จึงเกิดผลกระทบมาถึงประเทศไทย

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สศค.ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2562 และ 2563 จากเคยคาดการณ์ไว้เดิมเมื่อเดือนตุลาคม โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ขยายตัว 2.8% ลดลงจากเดิม คาดว่าจะขยายตัว 3.3% ส่วนในปี 2562 คาดว่าจะขยายตัว 2.5% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 2.8% ส่วนการส่งออกในปี 2563 คาดว่าจะขยายตัว 1% จากเดิมเคยคาดว่าขยายตัว 2.6% ส่วนในปี 2562 ติดลบ 3.2% ติดลบสูงกว่าเดิมคาดว่าจะติดลบ 2.5%

นายลวรณระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2563 ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา คาดว่าทำให้ทั้งปีนักท่องเที่ยวหายไปประมาณ 4 แสนราย ซึ่ง สศค.คาดการณ์ว่าเรื่องไวรัสโคโรนาจะจบใน 3 เดือน ส่วนปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณคาดว่าล่าช้ากว่าเดิม 2 เดือนจากสิ้นเดือนมกราคม เป็นสิ้นเดือนมีนาคมก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว

ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกระทั่งส่งผลต่อปัญหาเศรษฐกิจมิใช่ปัญหาเล็กๆ อีกต่อไป ประเทศไทยต้องมีวิธีทางที่จะทำให้คนไทยอยู่ดีมีสุขที่มากกว่าที่ทำเอาไว้ เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบีบคั้นและวิกฤตเข้าไปเรื่อยๆ จากเดิมที่คนไทยมีภาวะหนี้สินมากอยู่แล้ว หลายคนตัดสินปัญหาชีวิตด้วยการปลิดชีพตัวเอง ขณะนี้ปัญหาดังกล่าวมีทีท่าว่าจะรุนแรงมากขึ้น หมายความว่าต่อไปปัญหาเรื่องหนี้สิน และความเป็นอยู่ของคนไทยจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลไทยรวมไปถึงภาคเอกชนและภาคประชาชน ต้องกลับมาตั้งสติ ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และแสวงหาหนทางที่จะทำให้ประเทศชาติรอดพ้นไปด้วยกัน การใช้มาตรการเดิมๆ นั้นก็พอมีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อเกิดความวิกฤตเพิ่มขึ้น จึงต้องหามาตรการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าปัจจุบัน คนไทยถึงจะดำรงอยู่ได้

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image