เสนาพาณิชย์! 12 ธุรกิจทหาร โดย สุรชาติ บำรุงสุข

ผลพวงจากปัญหาความรุนแรงที่เกิดจากการก่อเหตุของบุคลากรกองทัพที่โคราช นำไปสู่การเปิดประเด็นสำคัญในเรื่องของธุรกิจภายในกองทัพ อันเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้สังคมให้ความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน และในขณะเดียวกันผู้บัญชาการทหารบกเองก็ได้ออกมาเพื่อลดแรงกดดันของกระแสสังคมว่า กองทัพจะ “จัดการ” กับปัญหาเหล่านี้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการทำธุรกิจของนายทหารบางส่วนในกองทัพ ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของสถาบันทหารตกต่ำลงอย่างมาก

หากพิจารณาจากตัวปัญหาแล้ว คงต้องยอมรับต้นทางของเรื่องทั้งหมดมาจากความเป็น “เสนาพาณิชย์” ที่เกิดขึ้นในกองทัพ หรืออาจจะเรียกด้วยภาษาในทางทฤษฎีว่า “เสนาพาณิชย์นิยม” (military commercialism) ซึ่งมีความหมายถึงการที่ทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับการประกอบการทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นในระดับชาติ หรือระดับภายในของกองทัพ ที่ก่อให้เกิด “กระบวนการสะสมความมั่งคั่งส่วนบุคคล” กับนายทหารบางนาย และสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้ไม่เป็นผลประโยชน์โดยตรงกับสถาบันทหารแต่อย่างใด และที่สำคัญสถาบันกองทัพไม่ได้รับประโยชน์จากการกระทำดังกล่าว เพราะเป็นการดำเนินการส่วนบุคคล (ที่แม้จะมีสถาบันรองรับอยู่ก็ตาม) อีกทั้งประเด็นเช่นนี้ในบางกรณียังเชื่อมโยงกับการแทรกแซงและอำนาจของทหารในการเมืองอีกด้วย

ในบริบทเดิมนั้น เรื่องของ “เสนาพาณิชย์” มักจะถูกตีกรอบการศึกษาอยู่กับเริ่องของการมีบทบาทของทหารในรัฐวิสาหกิจของประเทศ ซึ่งบทบาทเช่นนี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งในกรณีของทหารไทยในปัจจุบันด้วย หรือในอีกส่วนหนึ่งจะเป็นเรื่องของการที่ทหารมีบทบาทในบริบททาง “เศรษฐศาสตร์การเมือง” ของประเทศ เช่น การใช้อำนาจเข้าไปมีอิทธิพลในกระบวนการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจการเมืองของประเทศ ในรูปแบบของการจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ จนอาจนำไปสู่การเกิดเรื่อง “ฉาวโฉ่ด้านอาวุธ” (arms scandals) เช่นที่เกิดในบางประเทศ เป็นต้น

แต่เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่โคราช บทความนี้จะขอจำกัดประเด็นสำคัญอยู่กับการแสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจที่เกิดขึ้นภายในองค์กรกองทัพ ซึ่งหากสำรวจแล้ว เราจะพบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจในกองทัพบก 12 เรื่องหลัก ได้แก่

Advertisement

1) กองการออมทรัพย์ กรมสวัสดิการ ทหารบก: กองทัพบกเหมือนกับหลายหน่วยงานที่มีการบังคับให้กำลังพลทั้งหมด (ทุกชั้นยศ) เข้าร่วมในโครงการออมทรัพย์ (อ. ทบ.) เงินที่ถูกหักจากเงินเดือนเพื่อการฝากของกำลังพลทุกเดือน อาจจะถูกอ้างได้ว่านำมาใช้เพื่อเป็นสวัสดิการให้กำลังพลกู้ใช้ในยามฉุกเฉิน หรือเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย และรายได้หลักเหล่านี้น่าจะถูกนำฝากไว้กับธนาคารทหารไทย (ในฐานะธนาคารของกองทัพ) ซึ่งน่าสนใจอย่างมากว่า รายได้ที่เกิดจากเงินฝากเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นสวัสดิการของทหารในกองทัพมากน้อยเพียงใด หรือมีการจัดแบ่งผลประโยชน์ให้แก่นายทหารระดับใดบ้าง และกำลังพลในกองทัพได้ผลตอบแทนจากการนี้เพียงใด และกรณีความรุนแรงที่โคราชมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเงินกู้ของ อ. ทบ. ด้วย เนื่องจากเป็นการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านของกำลังพล

2) สถานีโทรทัศน์ของกองทัพบก: กองทัพบกมีโทรทัศน์ที่อยู่ในความดูแล 2 ช่อง คือ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 5 และช่อง 7 ซึ่งสำหรับช่อง 5 นั้น กองทัพบกได้ดำเนินการเอง ในขณะที่ช่อง 7 ได้ให้สัมปทานแก่เอกชนให้เข้ามาดำเนินการ ซึ่งรายได้จากสถานีโทรทัศน์ทั้งสองช่องน่าจะมีจำนวนมหาศาล ทั้งจากค่าสัมปทาน และค่าโฆษณา ซึ่งไม่มีความชัดเจนว่ารายได้ที่เกิดขึ้นนั้น ถูกจัดสรรให้แก่นายทหารระดับใดบ้าง อีกทั้งรายได้ดังกล่าวมีส่วนในการกลับมาเพื่อใช้ในการพัฒนากองทัพมากน้อยเพียงใด หรือถูกนำมาใช้เพื่อเป็นสวัสดิการของทหารในกองทัพบกเพียงใด นอกจากนี้บุคลากรบางส่วนของช่อง 5 ที่เป็นสถานีที่กองทัพบกดำเนินการเอง อยู่ในสถานะ “สวมหมวกสองใบ” คือรับเงินเดือนจากกองทัพบกและรับเงินเดือนของช่อง 5 พร้อมกันไปนั้น ควรจะปรับปรุงอย่างไรหรือไม่ เพราะเป็นการรับเงินเดือนสองทาง ทั้งที่เจ้าหน้าที่บางส่วนมีอัตราประจำอยู่กับกองทัพบก

3) สถานีวิทยุของกองทัพบก: กองทัพบกมีสถานีวิทยุอยู่ในทุกกองทัพภาค และอยู่ภายใต้การควบคุมของแม่ทัพภาค ซึ่งไม่ต่างจากกรณีของสถานีโทรทัศน์ที่มีรายได้มหาศาลจากการประมูลคลื่น และการขายโฆษณา รายได้เหล่านี้ถูกจัดสรรให้นายทหารระดับใดบ้าง หรือรายได้ดังกล่าวถูกนำมาใช้เพื่อการพัฒนากองทัพเพียงใด และเช่นเดียวกันบุคลากรที่ทำสถานีวิทยุนั้นสวม “หมวกสองใบ” เช่นเดียวกับในกรณีของสถานีโทรทัศน์หรือไม่

4) สนามม้าของกองทัพบก: กองทัพบกมีสนามม้าอยู่ในสองกองทัพภาค คือ สนามม้าโคราช (กองทัพภาคที่ 2) และสนามม้าเชียงใหม่ (กองทัพภาคที่ 3) คำถามที่เกิดขึ้นไม่แตกต่างกันคือ รายได้มหาศาลจากการแข่งม้าที่เกิดขึ้นนี้ถูกจัดสรรอย่างไร

5) สนามกอล์ฟของกองทัพบก: ค่ายหลักของกองทัพบกแทบทุกค่ายมีสนามกอล์ฟอยู่ภายใน ด้านหนึ่งของการมีเช่นนี้เพื่อใช้เป็นประโยชน์แก่การออกกำลังกายและสันทนาการของบรรดานายทหารทั้งหลาย แต่ในอีกด้านหนึ่งเป็นการหารายได้ด้วยการเปิดรับสมาชิกจากพลเรือน ซึ่งค่าสมาชิกในแต่ละค่ายอาจจะมีความแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามรายได้จากสนามกอล์ฟมีมูลค่ามหาศาลเช่นกัน อันนำไปสู่คำถามเดียวกันว่า การจัดสรรผลประโยชน์จากรายได้ชุดนี้มีการแบ่งปันอย่างไร

6) สนามมวยของกองทัพบก: กองทัพบกมีสนามมวยอยู่ 2 แห่งคือ สนามมวยลุมพินีที่กรุงเทพ (ปัจจุบันย้ายไปอยู่ลาดพร้าว และอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสวัสดิการทหารบก) และสนามมวยเชียงใหม่ (อยู่ในค่ายกาวิละ อยู่ในความรับผิดชอบของ มทบ. 33) น่าสนใจว่ารายได้จาก

สนามมวยทั้งสองแห่งเป็นเช่นไร และมีการจัดสรรอย่างไร โดยเฉพาะสนามมวยลุมพินีนั้น เป็นที่นิยมของผู้ที่ชื่นชอบกีฬาชกมวย และทั้งเป็นสนามมวยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทยด้วย

7) ที่ราชพัสดุในความดูแลของกองทัพบก: ปัจจุบันพบว่าที่ราชพัสดุที่กองทัพบกเข้ามาเป็นผู้ดูแลนั้นมีเป็นจำนวนมาก จึงมีการนำที่ดินดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ ได้แก่ โครงการบ้านธนารักษ์ ที่เป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพบกกับกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ในการจัดสร้างบ้านพักราคาถูกให้แก่กำลังพล และมีระยะเวลาของการอยู่อาศัย 30 ปี และอีกกรณีเป็นการซื้อที่ดินของพลเรือนเพื่อจัดสร้างบ้าน เช่น โครงการเหล่านี้ต้องได้รับการอนุมัติจากมณฑลทหารบกต่างๆ ตามความต้องการของหน่วยทหาร โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นบ้านราคาถูก และกำลังพลสามารถกู้เงินจาก อ. ทบ. ในข้างต้น ซึ่งโครงการในส่วนหลังนี้กลายเป็นโอกาสของการหาประโยชน์ทางธุรกิจของผู้บังคับบัญชาบางนาย เพราะนายทหารชั้นประทวนต้องการหลักประกันด้านความมั่นคงในชีวิตหลังเกษียณ ที่จะได้มีบ้านอยู่อาศัย จึงอาจต้องยอมรับเงื่อนไขการกู้เพื่อซื้อบ้านในลักษณะเช่นนี้ นอกจากนี้ในอีกมุมหนึ่ง จะยังเห็นได้ว่าปัญหาที่ราชพัสดุในความดูแลของทหารนั้น เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงและหาแนวทางในการแก้ปัญหามาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว เช่น การประชุมในวันที่ 16 ธันวาคม 2562 เรื่อง “การแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ราชพัสดุ และการใช้ประโยชน์ที่ดินของกองทัพบก” เป็นต้น

8) สวัสดิการจัดหาอาวุธปืนของกองทัพบก: หลายหน่วยงานในระบบราชการไทยมีรายได้ด้วยการจัดทำโครงการจัดหาอาวุธปืนในลักษณะของการเป็นสวัสดิการ ซึ่งกองทัพบกก็มีโครงการนี้เช่นกัน โครงการนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ถูกตั้งคำถามถึงผลประโยชน์และรายได้ที่เกิดขึ้น (ผบ ทบ. ปัจจุบันมีดำริที่จะยกเลิก)

9) สโมสรฟุตบอลของกองทัพบก: แม้ในด้านหนึ่งของการจัดทำสโมสรฟุตบอลจะเป็นเรื่องของการส่งเสริมการกีฬา แต่ในอีกด้านเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพราะต้องยอมรับความเป็นจริงถึงความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับกีฬา (หรือที่เรียกว่า “กระบวนการธุรกิจการกีฬา” – sport commercialization) อันเป็นสิ่งที่ปรากฎชัดในหลายองค์กร (ทราบว่า ผบ ทบ. ปัจจุบันมีดำริที่จะยกเลิก)

10) ธุรกิจอาหารในค่ายทหาร: การจัดหาอาหารให้กับกำลังพลในหน่วย (หรือโรงอาหารทหาร) เป็นอีกประเด็นที่มักจะมีการกล่าวถึงเสมอในชีวิตของทหารในค่าย ทำอย่างไรในอนาคตที่กองทัพบกจะต้องจัดทำระบบของการประกอบเลี้ยงให้กำลังพลในค่ายได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ

11) การดำเนินการสร้างถนนของทหาร: แต่เดิมในยุคสงครามคอมมิวนิสต์ มีโครงการสร้างถนนเพื่อความมั่นคง แต่เมื่อสงครามสงบ โครงการเช่นนี้ถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นโครงการที่หน่วยทหารช่างเข้ามารับงานจากรัฐบาลในการก่อสร้างและ/หรือซ่อมแซมถนน ซึ่งอาจจะไม่มีการประมูล อันทำให้เกิดข้อครหาจากภาคเอกชนว่า กองทัพบกเข้ามารับงานแข่งกับภาคธุรกิจเอกชน และทั้งยังมีคำถามในเรื่องรายได้ไม่ต่างจากโครงการอื่นในข้างต้น

12) ประเด็นอื่นๆ: นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การนำดินที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารสถานที่ของหน่วยทหารไปขายเป็นรายได้ หรือการจัดสร้างถนนในหน่วยทหาร ที่อาจจะต้องการการตรวจสอบอย่างเป็นจริงในมาตรฐานทางวิศวกรรม เพื่อทำให้ถนนเหล่านี้มีอายุยาวในการใช้งาน เป็นต้น

ตัวอย่างของ 12 เรื่องที่มีลักษณะเป็น “เสนาพาณิชย์” เช่นนี้ เป็นความท้าทายต่อผู้บัญชาการทหารบกอย่างยิ่ง และบางทีการจัดการทั้ง 12 เรื่องนี้อาจจะยากกว่าการ “ปฏิรูปกองทัพ” ที่มักจะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นทางการเมืองเสียอีก แต่อย่างน้อยการทำให้ 12 เรื่องดังกล่าวมีความโปร่งใสจะเป็นหนทางหลักประการหนึ่งในการสร้าง “กองทัพไทยสมัยใหม่” ในอนาคต!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image