อีกสิบปีข้างหน้า… : โดย กล้า สมุทวณิช

23กุมภาพันธ์ 2563 หลังจากที่กลับจากไปวิ่งในละแวกบ้านมา 5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พ่อกลับมาวิ่งอย่างจริงจัง

เรื่องที่หนูได้ถามไปเมื่อวันก่อนที่พ่อได้เล่าคร่าวๆ ง่ายๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เพราะไม่แน่ใจในความสามารถของพ่อเองในการถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าลำบากใจในตอนที่อารมณ์ยังปริ่มค้างรุนแรง

อย่างที่หนูรู้ ต่อให้พ่อจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ได้เก่ง แต่ถ้าให้เขียนออกมาได้จะดีกว่า

เรื่องมันก็ต่อจากที่พ่อได้เล่าไปแล้วว่าอนาคตของหนูถูกปล้นชิงไปอย่างไรและโดยใคร เรื่องที่พ่อจะเล่าต่อมาจากที่ค้างไว้ คือความเดือดดาลของผู้คนที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ต่อไปอีกนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นพ่อเป็นแม่คน

Advertisement

แม่ของเด็กคนหนึ่งเขียนระบายความรู้สึกไว้บนเฟซบุ๊กของเธออย่างจับใจ ใครได้อ่านคงต้องเผลอกอดลูกตัวเล็กๆ ไว้แน่น

“…กอดลูกแน่นๆ บอกรักลูก แล้วลงถนน

…เราเป็นแม่ของเด็กสามขวบ แม่ทุกคนรู้ว่านั่นคือสิ่งที่เราจะทำ แม่ทุกคนรู้ว่าต่อให้ฟื้นมาอีกกี่ครั้งก็ต้องทำเหมือนเดิม

Advertisement

…เพราะการที่ผู้มีอำนาจ aka ปลิงของบ้านเมืองนี้ กำลังบอกเราว่า พวกเรามันไร้ค่า ไม่มีความสำคัญมากพอที่จะได้รับความยุติธรรม..”1

สิ่งที่พ่อทำได้ดีอีกเรื่องหนึ่ง คือการเขียนบันทึกฉบับนี้ถึงหนู และไม่ใช่แต่เพื่อให้หนูที่เป็นลูกพ่อได้อ่านเท่านั้น แต่ยังหมายถึงเพื่อนๆ ของหนู และลูกๆ ของเพื่อนๆ พ่อ และเด็กทุกคนในประเทศนี้ที่เพิ่งถูกฉวยชิงวิ่งราวอนาคตของพวกเขาไป

เมื่อวันที่ลูกโตขึ้นในอีกสิบปีข้างหน้า ลูกจะมีเสรีภาพเต็มที่ว่าจะเลือกอยู่ในประเทศนี้ต่อไปหรือไม่ หรือจะหาหนทางไปแสวงโอกาสในบ้านอื่นเมืองอื่น แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นกับทักษะความสามารถของลูกจะส่งตัวเองไปได้ไหว โดยมีความช่วยเหลืออย่างสุดกำลังของพ่อและแม่อยู่เบื้องหลัง

เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับประเทศฟิลิปปินส์ ที่เป็นบ้านเกิดของ “ทีชเชอร์” หนูสมัยอนุบาล ประเทศนั้นเคยเจริญที่สุดที่หนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นประเทศที่ผู้คนในสมัยคุณปู่นั้นเลือกที่จะไปเรียนต่อ หากไม่ได้ไปยุโรป อเมริกา หรือออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

หากในปัจจุบัน เพื่อนของพ่อคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ทำธุรกิจในภูมิภาคนี้เล่าว่า “สิ่งที่คนชั้นกลางฟิลิปปินส์เค้ามุ่งทำกันเป็นปกติคือการทำงาน เก็บเงิน ส่งลูกเรียนเมืองนอก หรือไม่ก็ส่งตัวเองให้ไปทำงานสิงคโปร์ ซื้อรถขับเพราะขนส่งสาธารณะไม่ดี ซื้อบ้านแบบมีรั้วล้อม เพื่อความปลอดภัย บริษัทห้างร้าน จ้าง รปภ. เอกชน พกปืนคอยคุ้มครอง ส่วนคนชั้นล่างก็ออกไปขายแรงงานต่างประเทศ…”2

สิ่งที่กัดกินประเทศดังกล่าวจนผู้คนต้องไปแสวงหาโอกาสนอกประเทศ คือระบอบเผด็จการที่ปกครองอยู่เป็นเวลายาวนานกว่ายี่สิบปี แม้ในภายหลังประชาชนจะลุกฮือขึ้นต่อต้านขับไล่ได้สำเร็จ แต่กระนั้นการใช้อำนาจฉ้อฉลที่กัดกินประเทศอยู่เกินสองทศวรรษก็ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเสียหายถึงรากถึงแก่นอย่างยากที่จะซ่อมแซมได้ ทำให้ผู้คนต้อง “พาตัวเองให้รอด” แบบตัวใครตัวมัน

หากประเมินสถานการณ์กันตามความจริง โอกาสที่ประเทศเราจะตกอยู่ในสภาพนั้นก็มีสูงอยู่ ดังนั้น ตัวเลือกแรกๆ ของหนู คือการหาวิธีออกไปเติบโตนอกประเทศนี้ เป็นพลเมืองโลก

แต่ถ้าลูกเลือกที่จะอยู่ในประเทศนี้ต่อไป มันก็ใช่ว่าจะแย่เกินไปนัก มีคำแนะนำจากพี่ปอน เพื่อนของพ่ออีกคนหนึ่ง คนนี้หนูรู้จักเพราะเขาเคยมาเล่นเกมที่บ้านเรา คนเดียวกันกับที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำอยู่หลายเดือน เพราะทำเพจล้อเลียนคนที่ถูกเรียกว่า “ลุงตู่” นั่นแหละ

พี่ปอนเขียนไว้คำแนะนำห้าข้อ สรุปได้ว่า

ข้อแรก เราต้องตายทีหลังเผด็จการ

นี่เป็นการต่อสู้ระยะยาวหลายสิบปี “เวลา” อยู่ข้างคนรุ่นใหม่ แต่เราต้องไม่ใช้เวลานั้นอย่างสิ้นหวังทำร้ายตัวเอง

ในการต่อสู้ระยะยาว สิ่งแรกที่คุณทำให้ได้คือต้องหายใจอยู่ให้ได้นานกว่าเผด็จการ เพื่อการนั้นคุณต้องออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบห้าหมู่ รักษาสุขภาพ อย่าป่วย อย่าตาย

เมื่อคุณโกรธแค้น ให้คิดว่าอย่างน้อยเราต้องตายหลังเผด็จการ ต้องอยู่ต่ออีกสักวัน รอดูวันที่พวกมันตายแล้วออกไปวิ่ง (เหมือนที่ในช่วงนี้ พ่อต้องออกไปวิ่งทุกเช้านั่นแหละ)

ข้อสอง คือ เราต้องมีความสุขกว่าเผด็จการ เราเจ็บปวดกับความยุติธรรมได้ แต่อย่าละเลยที่จะมีความสุข อย่ารู้สึกว่าเป็นความผิดบาปถ้าตัวเองจะมีความสุขคนเดียวโดยทิ้งพี่น้องประชาชนให้ทุกข์อยู่ มันไม่ผิดที่ในโลกที่มืดมิดคุณจะมีแสงสว่างในตัวเอง เพราะคุณจะส่งแสงนั้นให้ประชาชนที่กำลังเศร้าและสิ้นหวังได้

ข้อสาม คือ จงประสบความสำเร็จกว่าเผด็จการ เพราะถ้าคุณมีทรัพยากร มีความสามารถ จะมีอีกหลายสิ่งที่คุณทำได้เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นได้ง่ายขึ้น จงแสวงหาความรู้เพื่อผลิตนวัตกรรมดีๆ เพื่อนำมาใช้สร้างสังคมที่ดีกว่านี้ จงสร้างธุรกิจขึ้นมา แล้วจ้างงาน จ่ายค่าแรงค่าจ้างสูงๆ เพื่อประชาชนที่ร่วมงานกับคุณจะมีความสุขกว่าการไปถูกขูดรีดโดยระบบที่ไม่เป็นธรรม คุณจะมีพลังในการขับเคลื่อนสังคม สิ่งที่คุณทำมันจะทรงพลังกว่าเดิมที่จะช่วยในการทำให้คนอื่นเชื่อและเดินตามคุณ

ข้อสี่ คือ สร้างสิ่งดีๆ กับสังคมให้มากกว่าพวกเผด็จการ โดยไม่ต้องไปกลัวว่าการทำความดีเพื่อแก้ปัญหาให้สังคมของคุณจะทำให้ผู้มีอำนาจได้ใจและละเลยต่อหน้าที่ ไม่ว่าคุณอยากจะแก้ไขในประเด็นอะไรก็ทำเลย อย่างน้อยที่สุดมันทำให้คุณรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ทำให้คุณไปถึงเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงสังคมมากขึ้น และมันจะทำให้คนเห็นว่าสิ่งที่เราพยายามเปลี่ยนคืออะไร

สุดท้ายคือ มีความเชื่อ อย่าทิ้งความหวัง อย่าทิ้งเป้าหมาย

ความเชื่อนั้นเหมือนกับการก้าวเดินในทะเลทรายกลางค่ำคืน โดยที่รู้ว่าปลายทางจะมีเมืองอยู่ ทั้งที่ตอนนี้ยังมองไม่เห็น หากเมื่อเรารู้ว่ามี ความเชื่อนี้ทำให้เราก้าวต่อไป หาไม่แล้วเราก็จะทรุดตัวลง ร้องไห้ และตายอยู่ในทะเลทราย ความเชื่อและความหวังคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราก้าวเท้าออกไป และไม่หยุดเดิน

จงมีชีวิตที่ยืนยาวสุขภาพดี จงใช้ชีวิตโดยที่มีเสียงเพลงติดอยู่ที่ริมฝีปาก จงศึกษาเรียนรู้สรรสร้างสิ่งดีๆ ทำการผลิต สะสมทุน จงลงมือทำ สิ่งที่ทำจะทรงพลังกว่าการบ่น จงเชื่อ หวัง มองไปที่เป้าหมาย และอย่าหยุดเดิน… ตั้งป้อมไว้ อย่าให้ตัวเองถูกตีแตก และเผยแพร่ความหวังให้ขยายออกไป

ท้ายที่สุดแล้ว คนใหม่ๆ ที่เก่งกว่าเราก็จะมาร่วมกับเรา แล้วคุณเห็นเผด็จการเหนื่อยยากกับการรับมือคนรุ่นใหม่ๆ ที่เก่งกว่าเรามากมาย…”3

ในอีก 10 ปีข้างหน้าลูกจะมีอายุ 20 ปี ในตอนนั้น ธนาธร ปิยบุตร และพ่อ จะมีอายุประมาณ 50 ปี ปกติแล้วคนอายุเท่านั้นถ้าไม่โชคร้ายจริงๆ ก็ยังไม่น่าจะตายหรือแก่เกินไปจนทำอะไรไม่ไหว

ขณะที่พวกซึ่งปล้นชิงอนาคตจากหนูไป ในวันนั้นคนที่แก่ที่สุดก็จะมีอายุเกิน 80 ปี รองๆ ลงมาก็จะ 70 กว่าปีขึ้นไป ต่อให้รักษาตัวดีเพียงใด แต่โดยธรรมชาติ คนวัยนั้นน่าจะมีความเสื่อมโทรมทางร่างกายและสมอง ในตอนนั้นหนูอาจจะพอเมตตาและเวทนาเขาได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ เพราะบางคนน่าจะสมองเสื่อม เดินเหินเองไม่ได้ บ้างก็มีชีวิตอยู่ได้ด้วยอุปกรณ์พยุงชีพรุงรัง บางคนอาจจะไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายเองได้ทั้งหนักเบา หากโชคร้ายลูกหลานไม่ทันดูแลก็ได้นอนแช่ของเสียตัวเอง หรือร้ายกว่านั้นหากสมองเสื่อมด้วย ก็อาจจะเอาไอ้ที่ปล่อยออกมานั่นแหละมาละเลงเล่นหรือใส่ปากกินเข้าไป

หรือถ้าพวกเราทำได้ดีกว่านั้น พวกเขาอาจจะไปจบหรือใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ในคุกตะราง ที่หวังว่าตอนนั้นมันจะเป็นที่ซึ่งปฏิบัติต่อนักโทษอย่างเคารพในสิทธิมนุษยชนมากกว่าทุกวันนี้

เมื่อถึงเวลานั้น แม้ว่าจะเมตตาพวกเขาอย่างมนุษย์ แต่ก็อย่าลืมสิ่งที่พวกเขาได้ทำไว้ในวันนี้

โปรดบอกเล่าเรื่องของพวกเขา ทั้งคำชี้ขาดและการใช้อำนาจของพวกเขา ดังเช่นที่ใครคนหนึ่งได้เขียนว่า

“…การเกลียดพวกคุณจะกลายเป็น pop culture ของคนยุคนี้

พวกคุณจะอยู่ในบทเพลงของศิลปินผู้เจ็บแค้น เขาจะสาปแช่งคุณ เล่าให้ลูกให้หลานฟังว่ายุคนึงพวกคุณทำเลวไว้ขนาดไหนแค่เพื่อรักษาอำนาจ

วัฒนธรรม จิตวิญญาณของวัยรุ่นยุคนี้คือความเกลียดชังที่มีต่อพวกคุณ เด็กวัยรุ่นรุ่นต่อๆ ไปจะร้องเพลงเหล่านี้ จะเห็นศิลปะเหล่านี้เป็นไอคอน เป็นอนุสรณ์ของความเคียดแค้นต่อความไม่ยุติธรรม

ในอนาคตเขาจะร้องเพลงและย้อนกลับมาพูดถึงสิ่งที่เกิดว่าสิ่งที่คุณทำลงไปมันน่ารังเกียจ

อยู่กับคำสาปแช่งไปเถอะวันนึงเดี๋ยวก็รู้”4

พวกลูกต้องช่วยเล่าเรื่องราวนี้ต่อไป คนพวกนี้มีลูกมีหลาน ในตอนนั้นอาจจะมีเหลนถึงลื่อ เราต้องบอกว่าปู่ ตา ทวด ของพวกเขาทำเรื่องเลวร้ายอะไรไว้ ให้ชื่อนามสกุลของคนพวกนั้นเป็นคำหยาบช้าเสียจนไม่มีใครกล้านำมาตั้งแม้แต่ชื่อสัตว์เลี้ยง จะมีที่ใช้ก็เป็นชื่อหรือสมญาของโจรถ่อยหรือนักข่มขืนเด็กในนิยายหรือภาพยนตร์ เพราะสิ่งที่เขาทำก็ไม่ได้แตกต่างกันเสียเท่าไร

เขาว่ากันว่าคนรุ่น ‘อัลฟา’ เช่นพวกหนูจะมีความอดทนต่ำ นั่นอาจจะเป็นข้อดีก็ได้ จริงอยู่ว่าความอดทนเป็นคุณสมบัติหนึ่งในการประสบความสำเร็จ แต่พ่อคิดว่าที่ปัญหานี้มันเรื้อรังไปจนเราแพ้และพ่ายต่อเผด็จการซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถลำลึกลงไปเรื่อย ก็เพราะคนรุ่นพ่อนั้น “อดทนมากเกินไป” หรืออาจจะมองโลกในแง่ดีเกินไปว่าพวกเขาจะมีความละอายมากกว่านี้

จงอดทนในสิ่งที่จำเป็นต้องทนที่เราแก้ไขหรือจัดการเองไม่ได้ แต่อย่าทนหรือรอแม้แต่น้อยต่อสิ่งที่เราแก้ไขและเปลี่ยนแปลงได้ เชื่อพ่อเถิดว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว สิ่งที่เราแก้ไขไม่ได้เลยอย่างแท้จริงนั้นมีน้อยเต็มที และยิ่งถ้าเป็นการร่วมมือร่วมใจกับคนอื่นที่พร้อมจะไม่ถอยไม่ทน เรื่องที่จำเป็นจะต้องใช้เพียงความอดทนเท่านั้นก็เกือบจะไม่มีเลย

วันนี้เขาขโมย “อนาคต” ของพวกหนูไปได้ก็เถอะ แต่เขาไม่มีอำนาจพอที่จะห้ามพวกหนูสร้างขึ้นมาใหม่ พ่อและเพื่อนๆ จะพยายามแข็งแรงไว้คอยเป็นกำลังให้หนู จนกว่าวันนั้นจะมาถึงในอีกสิบปีข้างหน้า.

*ข้อความบางส่วนจาก Facebook ที่โพสต์ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ของคุณ 1.Dofie Eusebio 2.รุจน์ ธนรักษ์ 3.ตัดทอนจากโพสต์ในแฟนเพจ Starless Night – Harit Mahaton โดยได้รับอนุญาตแล้ว 4.จากเพจ “มิตรสหายท่านหนึ่ง

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image