ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
ผลการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเป็นไปตามคาดหมาย ฝ่ายรัฐบาลชนะเพราะมีจำนวนมือ ส.ส.มากกว่า
แต่แทนที่สถานการณ์การเมืองและเสถียรภาพรัฐบาลจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกลับมีแนวโน้มตรงข้าม เมื่อนักเรียน นิสิต นักศึกษา ออกมาแสดงปฏิกิริยารวมตัวชุมนุมแฟลชม็อบ กระจายออกไปทั่วประเทศ
ด้วยข้อเรียกร้องหลายประการผสมผสานกันไป ไม่ใช่เพียงแค่กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 10 ปี เรื่องเดียวเท่านั้น
แต่ขยายประเด็นไปถึงเรื่องอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นความรู้สึกอึดอัดขัดข้องที่สะสมเรื่อยมานานหลายปี จากระบบโครงสร้างการเมืองอำนาจนิยม สองมาตรฐาน ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของฝ่ายเห็นต่าง
ยิ่งการแฉโพยปฏิบัติการข่าวสาร ไอโอ โดยมือปืนรับจ้างนักเลงคีย์บอร์ด ใช้กลไกรัฐเป็นเครื่องมือติดตาม สร้างความเกลียดชังฝ่ายเห็นต่างระหว่างประชาชนกันเอง ที่ ส.ส.อนาคตใหม่อภิปรายกลางสภาเป็นเรื่องร้ายแรง ละเอียดอ่อน ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากคิดว่า สิทธิขั้นพื้นฐานกำลังถูกทำลาย ไร้ความหวัง มองไม่เห็นอนาคตแล้วยังขาดความปลอดภัยในชีวิตอีกด้วย
เสียงเรียกร้องครั้งนี้จึงเป็นเรื่องระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย
ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ค่าครองชีพแพง การค้าขายฝืดเคือง ธุรกิจ อุตสาหกรรมปิดตัว คนตกงานเพิ่ม ทิศทางนโยบายของรัฐบาล ถูกตั้งคำถามว่าประโยชน์ตกแก่กลุ่มทุนใหญ่ ยิ่งซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนกลุ่มน้อยส่วนบน กับคนระดับล่าง ถ่างกว้างมากขึ้น
ขณะที่มหาภัยจากไข้ไวรัสโควิด-19 ยังไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ สถานการณ์ภัยพิบัติจากธรรมชาติ ภัยแล้งกำลังรุนแรงตามมา
ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นสาเหตุสะสม เพิ่มความร้อนระอุ ไม่พึงพอใจกับสภาพความเป็นไปของสังคมในภาพรวม ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ครบทุกด้าน
กล่าวเฉพาะกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ น่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ทำให้ความอดทนของคนรุ่นใหม่มาถึงจุดปะทุ แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะเผยแพร่คำวินิจฉัยโดยละเอียดเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับรู้แนวทางการใช้ดุลยพินิจที่ชัดเจน แต่อีกด้านหนึ่งคณาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 36 คน ได้ออกคำแถลงแสดงความเห็นถึงแนวทางการใช้ดุลยพินิจที่สามารถวินิจฉัยได้อีกมุมหนึ่ง
ความเห็นต่าง ระหว่างสองแนวทางการใช้ดุลยพินิจจากกฎหมายฉบับเดียวกัน จึงเป็นสาระสำคัญ ทำให้นักศึกษา ประชาชน หูตาสว่าง สามารถเทียบเคียงการตีความที่ต่างกัน จนสรุปเป็นความคิด ก่อนกำหนดจุดยืนทางการเมืองของพวกเขาได้เอง
ใครที่เห็นว่าการเคลื่อนไหวของนักศึกษาว่า ถูกชี้นำ แทรกแซง ไร้ความคิด คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เยาวชนยุคนี้มีช่องทางเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร หลากหลาย มีความรู้ ความคิดเป็นตัวของตัวเอง ฉะนั้นอย่าดูถูก หมิ่นแคลน หยามเหยียด เกลียดชังพวกเขาเป็นอันขาด
การเคลื่อนไหวใช้สิทธิเสรีภาพแสดงออกเป็นไปภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า รัฐบาลจะหาทางออก แก้สถานการณ์ที่ไม่ใช่แค่ไฟไหม้ฟางแต่กำลังเป็นไฟลามทุ่ง ด้วยวิธีการใด
เมื่อการลาออกตามแรงกดดันของฝ่ายค้านในสภาเป็นไปได้ยาก การปรับคณะรัฐมนตรีเกิดขึ้นแน่เพราะมีเงื่อนไขเกิดก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว เมื่อนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบอกกับสังคมว่าจะลาออกหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นไป
พล.อ.ประยุทธ์จะใช้เงื่อนไขและโอกาสนี้ปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่เมื่อไร เนิ่นนานเท่าไร แรงกระเพื่อมจากการต่อรองภายในพรรคร่วมรัฐบาล ยิ่งเพิ่มแรงเสียดทาน ทำให้สถานการณ์ภายในระอุมากขึ้น
ขณะที่สถานการณ์ภายนอก ยังร้อนรุ่ม ฝ่ายที่ไม่พอใจรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนักเรียน นักศึกษา กำลังติดตามว่าผลการประสานงาน กำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน จะออกมาอย่างไร
แนวทางการเรียกร้องขอคำมั่นสัญญาการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่จะเป็นทางออกและยุติการเคลื่อนไหวของนักศึกษา ประชาชนจำนวนมากได้หรือไม่ สถานการณ์กำลังพัฒนาไปตามลำดับ
หากความขัดแย้งส่อเค้าว่าจะบานปลายต่อไป การยุบสภาเพื่อให้อำนาจกลับคืนไปสู่ประชาชนอีกครั้ง จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
การเลือกตั้งภายหลังการยุบสภาแม้เป็นไปภายใต้โครงสร้างอำนาจ กฎ กติกา ประชาธิปไตยจอมปลอมที่ดำรงอยู่ ทำให้หวั่นเกรงว่าผลจะออกมาแบบเดิมมีการสืบทอดอำนาจต่อก็ตาม
การรอคอยกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วางกรอบกติกาใหม่ให้สำเร็จเสร็จสิ้นเสียก่อน ต้องแลกด้วยความอดทนกับความอึดอัดขัดข้องต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ไม่มีหลักประกัน
จะทันเวลาและสถานการณ์ที่สุกงอม ล่อแหลมให้การแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง หรือไม่
แก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนยุบสภา หรือ ยุบสภา เลือกตั้งใหม่แล้วแก้ไขรัฐธรรมนูญ คำถามเดิม ก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ค่อยๆ ดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
สมหมาย ปาริจฉัตต์