ภาพเก่าเล่าตำนาน : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช..ผู้สร้างมหากาพย์ : โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

ไม่บอก ไม่กล่าว ไม่เล่า..เดี๋ยวก็ลืมกันหมด..นี่ คือผลงานของ นายกรัฐมนตรีคนที่ 13 ของไทย ที่สามารถพลิกสถานการณ์บ้านเมืองที่พลเรือน ตำรวจ ทหารไทยกำลังทำสงคราม สู้รบกับกองกำลังของคอมมิวนิสต์แบบดุเดือด..ให้ “พลิกผัน” แบบ “ทันตาเห็น”

ท่านคือ มหาบุรุษที่กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กล้ารับผิดชอบ …ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การตัดสินใจเยือนประเทศจีน… ในขณะที่จีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ..เป็น “ลูกพี่ใหญ่” สนับสนุนการใช้ปืนเข้าเปลี่ยนระบอบการปกครอง เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ที่สำคัญ คือสนับสนุนการต่อสู้ในประเทศไทย

จีนในช่วงเวลาโน้น…คือ ดินแดนที่ไม่ค่อยมีใครเข้าถึงได้ง่าย…ฝรั่งเรียกว่า “ม่านไม้ไผ่” เป็น “ดินแดนต้องห้าม” …มีกฎหมายห้ามคนไทยเด็ดขาด แม้กระทั่งการกล่าวถึง…

ย้อนไปเมื่อราว 50 ปีที่แล้ว…ผมยังเรียนระดับมัธยม สังคมไทยได้รับการปลูกฝังว่า… “อันตรายที่สุด” คือ การกล่าวถึง การมีเอกสารไว้ในครอบครอง ฟังรายการวิทยุคลื่นสั้น (Short Wave) การติดต่อ กับชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ฯลฯ

Advertisement

“วิทยุเสียงปักกิ่ง” ที่โฆษกรายการเป็นสุภาพสตรี ออกอากาศจากเมืองจีนเป็นภาษาไทยในระบบ AM คือ ลำโพงอันทรงประสิทธิภาพ ที่ร้อยรัด ปลุกเร้าอุดมการณ์ของนักสู้ในป่าเขาในประเทศไทย ห้ามเปิดฟังเด็ดขาด ใครฟังจะโดนจับ… วิทยุที่รับได้ชัดที่สุด คือ วิทยุธานินทร์

สังคมไทย…ก็ไม่ค่อยรู้จักว่าคอมมิวนิสต์ คือ อะไร แต่ถูกปลูกฝังว่า “เป็นเรื่องเลวร้าย” ดาบกายสิทธิ์ที่ทรงอานุภาพที่สุด คือ พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495

วิกฤตของไทยที่เกิดขึ้นรอบบ้านในช่วงเวลานั้น คือ ในเดือนเมษายน พ.ศ.2518 คอมมิวนิสต์ประสบชัยเด็ดขาดยึดอำนาจได้ในเวียดนามใต้ ลาว และกัมพูชา

Advertisement

ท่าทีอันแข็งกร้าวของกองทัพเวียดนามที่ประดุจอาชาคะนองศึก ทำให้ นรม. ผู้นำพลเรือนของไทย คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ หัวหน้าพรรคกิจสังคม พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รมว.การต่างประเทศ ตัดสินใจขอไปปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน… (มีทีมงานลับ ไปประสานท่าทีไว้ล่วงหน้าแล้ว)

ลองมาทบทวนอดีต ที่ปัจจุบัน กลับหัวเป็นหางและหางเป็นหัว…

ผมขอหยิบยกบทความบางตอนของ คุณสละ ลิขิตกุล บรรณาธิการคนแรกของสยามรัฐ ที่ได้ร่วมเดินทางไปกับ นรม. คึกฤทธิ์ ในเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ มาขยายความ…

“…ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่กล่าวกันว่า ประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศไทย เกิดผลงานของนักคิดนักเขียนต่างๆ ออกมาอย่างเสรี

30มิถุนายน 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เดินทางไปเยือนจีนนับได้ว่า เป็น นรม.คนแรก และเป็นเชื้อพระวงศ์ที่เดินทางไปจีน ภายใต้การปกครองของลัทธิคอมมิวนิสต์

จีนจัดการต้อนรับชนิดยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์

นรม.ไทยได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ ให้ได้เข้าพบท่านเหมาเจ๋อตุง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ผู้มีอำนาจสูงสุด

ซึ่งใช้เวลาพบปะสนทนากันนาน ราว 58 นาที ประธานเหมาเจ๋อตุง แทบไม่เคยให้โอกาสผู้ใดเข้าพบได้นานถึงขนาดนั้น เป็นการสนทนาแบบ “ถึงใจพระเดชพระคุณ”

ยังได้พบปะวิสาสะกับ จูเอินไล นรม.จีน ได้รับการสรรเสริญยกย่องจาก เติ้งเสี่ยวผิง รอง นรม. ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในประเทศจีน

นรม.คึกฤทธิ์ …ท่านได้มาเล่าขยายความภายหลังว่า

“ก็รู้สึกตื่นเต้น กล้าๆ กลัวๆ อย่างไรชอบกล เมื่อคิดว่าตัวเองจะต้องไปพบกับผู้ยิ่งใหญ่ แห่งคอมมิวนิสต์ของโลก ในฐานะที่เป็นตัวแทนของคนไทย ที่เป็นประชาธิปไตย ก็รู้สึกปอดๆ อยู่เหมือนกัน แต่ครั้นได้พบและสนทนาวิสาสะกับจอมโจกคอมมิวนิสต์ของโลกแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่น่ากลัวเลย”

บทความของนักข่าวที่ติดตามไปบันทึกว่า…

คณะของเราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2518

ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้เข้าพบกับนายจูเอินไล นรม.ของจีน แม้จะอยู่ระหว่างการพักรักษาตัว เนื่องจากเจ็บป่วย แต่ฝ่ายจีนก็ยังให้เกียรติ อนุญาตให้เข้าพบที่โรงพยาบาล และท่านก็มีน้ำใจต้อนรับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เป็นอย่างดี ได้ลงนามในหนังสือสัญญาพันธไมตรี ระหว่างไทยกับจีนเป็นที่เรียบร้อย…

…แม้ นรม.ไทยจะเดินทางมาถึงกรุงปักกิ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีกำหนดการที่แน่ชัดว่า วันเวลาใดจึงจะได้เข้าพบท่านประธานเหมาเจ๋อตุง (นี่เป็นรูปแบบพิธีการทูตของหลายประเทศที่เป็นมหาอำนาจและร่ำรวย รวมถึงประเทศในตะวันออกกลางที่มั่งคั่ง ที่ให้บินมาได้ เข้าที่พัก แล้วต้องคอยว่าจะให้พบวันไหน เวลาอะไร และที่ไหน : ผู้เขียน )

วันที่ 2 กรกฎาคม 2518 รัฐบาลจีนโดยท่าน รอง นรม.เติ้งเสี่ยวผิง ได้นำ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์และคณะไปเยี่ยมเยียนชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ในประเทศจีน ซึ่งบางพวกก็พูดภาษาไทย (เหนือและอีสาน) ได้ชัดเจนและถูกต้อง

…“ขณะกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการส่งภาษาพื้นถิ่น ก็ปรากฏว่ามีรถยนต์ของทางราชการได้แล่นเข้ามาจอด เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งเข้าไปรายงานต่อนายเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งกำลังนำ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์พบปะกับชนเผ่าต่างๆ อยู่ แล้วรายงานว่า

…ท่านประธานเหมาเจ๋อตุงให้นายกรัฐมนตรีของไทยเข้าพบในวันนี้เวลาก่อนเที่ยงวัน

เมื่อเกิดมีกำหนดการอย่างกะทันหันเช่นนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็ต้องละราชการ เยี่ยมเยียนชนเผ่าต่างๆ ในทันที ปล่อยให้คณะผู้ติดตามและผู้สื่อข่าว ได้เยี่ยมเยียนชนเผ่าต่างๆ ต่อไป ตัวท่านปลีกตัวออกมา โดยไม่บอกให้คณะรู้ ปิดเป็นความลับ ด้วยเกรงว่าผู้สื่อข่าวจะติดตามไป

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อนว่าจะได้เข้าพบท่านประธานเหมา ขณะนั้นท่านแต่งตัวแบบลำลอง เพราะกำลังเยี่ยมเยียนชนเผ่าต่างๆ จึงต้องรีบกลับไปยังที่พักเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว

ตัวผมเองตกใจว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จะรีบร้อนไปไหน เพราะได้เห็นท่านออกเดินอย่างเร็วจนเหมือนวิ่ง เมื่อท่านผ่านหน้าผม ก็พูดกับผมเบาๆ อย่างอารมณ์ดีว่า “ฮ่องเต้มีรับสั่งให้เข้าพบแล้ว”

ผมได้ทราบในภายหลังว่าคณะที่เข้าพบท่านประธานเหมาเจ๋อตุงนั้น ประกอบด้วย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รมว.การต่างประเทศ นายอานันท์ ปันยารชุน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เล่าต่อว่า “สถานที่ที่ผมเข้าไปพบประธานเหมานั้น ทางการจีนเรียกกันว่า หอสมุด… นรม.ไทยเล่าเรื่องต่อว่า…

“ผมหันมาถามคุณชาติชาย (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) ที่เดินตามหลังเข้ามาว่า จะเอายังไง จะสู้หรือจะถอย.. คุณชาติชายบอกว่า ไม่ได้ ถอยไม่ได้ ต้องใจกล้าไว้ครับท่านนายกฯ เรามาถึงอย่างนี้แล้ว เอาเลย ผมก็เดินเข้าไป…

“ตอนนั้นล่ามยังไม่มาถึงครับ ท่าน (เหมาเจ๋อตุง) ก็รี่เข้ามาจับมือผม แล้วก็ร้องโฮกๆ แต่คราวนี้หลายโฮกเหลือเกิน และดังเสียด้วย ต่อจากนั้นก็จับมือผมเขย่าแล้วเขย่าอีก และเขย่าแรงๆ เสียด้วย เสร็จจากการโฮกและเขย่ามือกับผมแล้ว ก็จับมือคุณชาติชายเขย่าบ้าง แล้วก็ร้องโฮกสองหน

“พอดีตอนนั้นล่ามมาถึงแล้ว จึงแปลความหมายที่ท่านประธานเหมาพูดว่า …ไอ้หนู (หมายถึง พล.ต.ชาติชาย) นี่เคยมาเมืองจีนแล้วไม่ใช่หรือ คุณชาติชายก็ตอบผ่านล่ามว่า เคยมาแล้ว ท่านก็พูดต่อไปว่า ถ้าจะชอบเมืองจีนละซินะจึงมาอีก คุณชาติชายก็ตอบว่า ชอบมากครับ

“ท่านประธานเหมานั่งเต็มเก้าอี้แบบคนใหญ่คนโต ไอ้ผมมันเด็กนี่ ก็ต้องนั่งขอบเก้าอี้ ผมไม่ได้นั่งเต็มเก้าอี้และไขว้ขา หรือไขว่ห้างคุยกับท่าน อย่างคนประเทศอื่นๆ เขาปฏิบัติและชอบทำ ผมนั่งเอาก้นแตะเก้าอี้ แล้วก็ประสานมือแบบเคารพ หรือจะว่าแบบเล่าปี่ไปหาขงเบ้งนั่นแหละ ผมรู้สึกว่าท่านพอใจมากทีเดียว แล้วท่านก็เริ่มพูดขึ้นก่อน”

เหมาเจ๋อตุง เริ่มการทักทายว่า “ท่านนายกฯไทย มาหาคอมมิวนิสต์อย่างข้าพเจ้า ไม่รู้สึกกลัวหรือ”… ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ตอบว่า “หามิได้ ข้าพเจ้าเลื่อมใสท่านประธานมานานแล้ว ข้าพเจ้ามิใช่คอมมิวนิสต์ แต่ข้าพเจ้ามาหาเพื่อน”

ประธานเหมาท่านชมว่า ที่ลื้อไปให้สัมภาษณ์ไว้ที่ฮ่องกง ก่อนมาถึงปักกิ่งนั้นถูกต้องแล้ว ท่านเห็นด้วย

“ผม (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ฮ่องกงคืนก่อนที่จะเข้าประเทศจีน …ผมพูดว่า…รัฐบาลไทยก็ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ แต่มีผู้ก่อการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยมาก …ผมจึงได้มาผูกสัมพันธไมตรี กับประเทศจีนคอมมิวนิสต์…”

“…ผมก็ตอบหนังสือพิมพ์ว่า ไอ้เรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นน่ะ เป็นเรื่องของพรรคการเมือง แต่การไปผูกไมตรีกับประเทศจีน มันเป็นเรื่องรัฐบาลต่อรัฐบาล ไม่ได้คำนึงถึงพรรค มันเป็นเรื่องของประชาชนจีน กับประชาชนไทย ไม่ได้คำนึงถึงลัทธิ ผมจึงไปประเทศจีนด้วยเหตุนี้…”

“…แล้วต่อจากนั้นผมก็บรรยายความว่า ผมมาประเทศจีนด้วยความสมัครรักใคร่ อยากผูกสัมพันธไมตรี ประเทศไทยกับประเทศจีน เป็นมิตรไมตรีกันมาช้านาน เป็นเวลาหลายพันปี มีเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้ไมตรีสะดุดหยุดลง บัดนี้ผมจะมาขอเริ่มใหม่ อะไรๆ ก็ว่ากันไปตามอย่างนั้นแหละครับ

ท่านก็ร้องห่าวๆ ตลอดเวลา…

“ห่าว ภาษา (จีน) แมนดาริน ก็แปลว่า ฮ้อ นี่แหละ ท่านห่าวมา ผมก็ห่าวไป …ผมก็บอกท่านว่า แหม ท่านประธานยังแข็งแรงอยู่นะ ท่านก็บอกว่า โอ๊ย ไม่จริงหรอก แก่เต็มทีแล้ว เวลานี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว ต้องมานั่งรับราชการกินเงินเดือนเขา

“ท่านก็บอกว่าใช่ เวลานี้เป็นข้าราชการประจำกินเงินเดือนหาเลี้ยงชีพไป…แล้วท่านก็บอกว่า อีกหน่อยก็ตายแล้วละ คนแก่ขนาดนี้ มันจะไปอยู่ยั่งยืนสักแค่ไหน…

“ผมก็บอกกับท่านว่า ท่านประธานตายไม่ได้นะ เพราะโลกไม่สามารถที่จะสูญเสียผู้ร้ายนัมเบอร์วันของโลกได้”

ท่านก็ดีใจ หัวร่อลงคอ จับมืออีกครั้ง ท่านชอบใจ อยากเป็นผู้ร้ายนัมเบอร์วัน เรื่องผู้ร้ายนัมเบอร์วันนั้น ท่านได้พูดมาก่อน…

“ในเรื่องของคอมมิวนิสต์นั้น ท่านประธานเหมาสอนผมว่า อย่าไปกลัวมัน…ท่านบอกว่า อย่าไปรบกับมันพวกคอมมิวนิสต์น่ะ เพราะถ้ามันตายกันมากๆ มันก็ยิ่งมาตายกันอีกไม่รู้จักหมด เพราะมันอยากดังอะไรอย่างนี้

ท่านก็สอนผม “ให้กำจัดคอมมิวนิสต์” คือทำให้ชาวบ้านชาวเมืองเขามีกินมีใช้ อย่าไปกลัวเลยคอมมิวนิสต์ มันมีไม่กี่คนหรอกฯ…”

บทสนทนาข้างต้น คือ นาทีแห่งประวัติศาสตร์ ที่ทำให้สถานการณ์การสู้รบดุเดือดในประเทศไทยเริ่มคลายตัวลง

พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา ซึ่งร่วมเดินทางไปกับคณะด้วย ได้เล่าถึงการเจรจาระหว่างเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งเป็นเจ้าภาพแทนนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล ซึ่งป่วยกับ นรม.ไทยว่า

“เติ้งเสี่ยวผิง ยืนยันว่าจีนไม่คิดรุกรานหรือคุกคามไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ตอบว่า “ให้จีนเขียนคำดังกล่าวในล็อกเกต จะเอาไปให้เด็กไทยห้อยคอ เติ้งเสี่ยวผิงหัวเราะชอบใจ”

1 กรกฎาคม พ.ศ.2518 เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้จีนกับไทยซึ่งเคยเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หันมาเป็นมิตรกัน …เป็นการยุติความเป็นศัตรูและความไม่เข้าใจต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนที่มีมา ตั้งแต่ พ.ศ.2492 เมื่อจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ถึงแก่อสัญกรรมหลังจากไปกรุงปักกิ่งมาแล้ว 20 ปี

ชนชาวไทยรุ่นหลัง…ขอน้อมรำลึกถึงความดีงามของท่านและทีมงานสมองเพชรที่อยู่เบื้องหลังทำงานปิดทองหลัง…ประสานงานในทางลับ เงียบเชียบ ปูทางให้นายกรัฐมนตรีของไทยได้ไปคุยกับผู้นำคอมมิวนิสต์เบอร์ต้นๆ ของโลก และสร้างความสงบสุขเป็นผลสำเร็จ…

ท่านคือมหาบุรุษที่ลูกหลานขอคารวะครับ…

อ้างอิง : นิตยสารสารคดี Feature Magazine ฉบับที่ 195 เดือนพฤษภาคม 2544

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image