ผู้เขียน | ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ |
---|
โควิด-19 ก่อผลกระทบต่อผู้คนอย่างทั่วถึงจริงๆ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ชนิดที่น้อยครั้งนักจะมีอะไรสักอย่างสร้างผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้นมาได้
เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะทุกสังคมมีคนเห็นแก่ตัว มีกลุ่ม “บัดซบ” อยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งภายใต้สภาวะวิกฤต คนจำนวนน้อยเหล่านี้ยิ่งสามารถสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นสูงมาก
ไม่จำเพาะในเมืองไทยหรอกครับ ต่างประเทศก็มีเช่นนั้น ตัวอย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา มีมนุษย์โสโครกรายหนึ่งขายเจลล้างมือผ่านอีเบย์ ขวดเดียว 135 ดอลลาร์ หรือราว 4,300 บาท เป็นต้น
ที่เกิดเหตุเช่นนั้นขึ้นมาได้เป็นเพราะความขาดแคลนนั่นแหละครับ ความต้องการสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าในตลาด คนที่มีอยู่ในมือก็ฉวยโอกาสสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองอย่างหน้าด้านๆ กันเช่นนี้แหละ
แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐอเมริกาแนะนำเป็นลำดับแรกสุดในการสร้างสุขอนามัยส่วนตัวเพื่อเป็นเกราะป้องกันโควิด-19 ไม่ได้ให้ใช้เจลผสมแอลกอฮอล์ล้างมือนะครับ
ลำดับแรกที่ซีดีซีแนะนำคือการล้างมือด้วยสบู่กับน้ำ
ถ้าใกล้ตัวในเวลานั้นไม่มีทั้งน้ำทั้งสบู่ ถึงแนะนำให้ใช้เจลแอลกอฮอล์ “ที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่อย่างน้อย 60 เปอร์เซ็นต์” ทำความสะอาดมือแทนครับ
ลองตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ในทางวิทยาศาสตร์กันสักหน่อยดีกว่า
เริ่มที่มือก่อนครับ
เมื่อถึงยุคของการระบาดจากไวรัสที่ก่อโรคในระบบทางเดินหายใจทั้งหลาย รวมทั้งไวรัสโควิด-19 คุณหมอและผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ยืนยันตรงกันว่า มือคือหน้าด่านแรกสำหรับตัวเรา
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะไวรัสพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นตัวที่อาละวาดอยู่นี่ หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ และแม้แต่ไวรัสก่อหวัดทั่วไป ไม่ล่องลอยอยู่ในอากาศนานๆ ครับ แต่จะตกลงบนพื้นผิวทั้งหลาย
ลองจินตนาการภาพผู้ป่วยสักคน ไอหรือจาม ธรรมชาตินิสัยจะทำให้เขายกมือปิดปาก ไวรัสก็ชุมนุมใหญ่อยู่บนฝ่ามือนั่นแหละครับ
ส่วนที่เหลือก็ตกลงมาเกาะติดเสื้อผ้า เก้าอี้ โต๊ะ ฯลฯ
ถ้าผมเอื้อมมือสัมผัสกับมือผู้ป่วย หรือไปวางราบลงหรือลูบไปบนโต๊ะ ไขมันผสมเหงื่อบนฝ่ามือของผมก็เปรียบเสมือนกาวดีๆ นี่เอง ดูดไวรัสติดหมับมาอยู่บนฝ่ามือตัวเอง
เผลอเอามือนั้นไปขยี้ตา ลูบหน้า แคะจมูก เกาคาง แตะปาก ฯลฯ ซึ่งคนเราเคยชินทำกันบ่อยมาก เฉลี่ย 23-26 ครั้งต่อชั่วโมง โอกาสติดเชื้อมีมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
การล้างมือบ่อยๆ จึงลดโอกาสการติดเชื้อได้สูงมากครับ
ทีนี้ก็ถึงเรื่องของสบู่กับน้ำ
สบู่ในที่นี้คือสบู่ทั่วๆ ไปนี่แหละครับ ยี่ห้อไหนก็ได้ สูตรไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น “สบู่ยาฆ่าเชื้อ” จะเป็นเหลวหรือเป็นก้อน จะเติมกลิ่นไม่เติมกลิ่น ใช้ได้ทั้งนั้นครับ
จริงหรือ? มันฆ่าโควิด-19 ได้อย่างไร?
พอลลี ธอร์ดาร์สัน ศาสตราจารย์ด้านวิชาเคมี จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ให้คำตอบไว้ด้วยการอธิบายอย่างละเอียดดังนี้
ส่วนผสมพื้นฐานของสบู่ทุกชนิด (โซเดียม ลอเรธ ซัลเฟต) นั้น มีคุณสมบัติทางเคมีที่นักเคมีเรียกว่าเป็น “แอมฟิฟีเลส” (amphiphilles) คือเป็นสารที่มีธรรมชาติ 2 ด้าน ด้านหนึ่งชอบน้ำ ด้านหนึ่งชอบไขมัน
ธรรมชาติ 2 ด้านนั้นขัดกัน ผสมกันไม่ได้ คือส่วนที่ชอบน้ำจะถูก “ขับ” ได้โดยไขมันกับโปรตีน ส่วนที่ชอบไขมัน ก็ถูกขับด้วยน้ำได้เช่นกัน
ลองหยดน้ำลงในขวดน้ำมันมะกอก มันก็จะเป็นหยดอยู่อย่างนั้น ถ้าหยดน้ำมันมะกอกลงในน้ำก็เป็นเช่นเดียวกัน
ถ้าเราผสมสบู่กับน้ำมันแล้วราดด้วยน้ำ ผลก็คือ สบู่จะทำให้น้ำมันสูญเสียประสิทธิภาพอย่างที่มันเคยเป็นแล้วถูกน้ำชะออกไปครับ
โมเลกุลของสบู่จะไป “ล้อมกรอบ” โมเลกุลของไขมัน หรือน้ำมัน แล้วก็ทำให้มันเกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ทำให้สิ้นสภาพเดิมไป ถูกน้ำชะล้างออกไปนั่นเอง
โชคดีที่ไวรัส ซาร์ส-โคฟ-2 ที่ก่อโรคโควิด-19 มีคุณลักษณะทางเคมีคล้ายๆ กับไขมันหรือน้ำมันข้างต้นนี้
ไวรัสนี้จะมีสารพันธุกรรม (อาร์เอ็นเอ) ที่ล้อมรอบอยู่ด้วยไขมันกับโปรตีน ธอร์ดาร์สันเรียกมันว่าเป็น “หยดไขมันระดับนาโน” ครับ
ตอนที่โมเลกุลของสบู่ไปล้อมกรอบเจ้า “หยดไขมันระดับนาโน” ที่ว่านี้ มันไม่ได้ล้อมอยู่เฉยๆ แต่ไปจัดการทำให้พันธะทางเคมีของไขมันกับโปรตีนที่เป็นเปลือกล้อมรอบอาร์เอ็นเออยู่ให้หลุดออกจากกัน เหมือนเอาชะแลงงัด
งัดไม่ยากครับ เพราะพันธะทางเคมีของเปลือกไวรัสไม่แข็งแรงเท่าไหร่ ไม่นานก็พังทลายเหมือนเรางัดอิฐก้อนล่างๆ ออกแล้วอิฐที่เหลือก็ทลายลงตามมา
เจ้าไวรัสร้ายก็จะสิ้นฤทธิ์ แล้วถูกชะทิ้งลงไปตามท่อน้ำโสโครก หายไปตลอดกาล
แต่มีข้อแม้นะครับ นั่นคือต้องให้เวลากับสบู่สักหน่อย ทางหนึ่งเพื่อให้สบู่แทรกซึมไปตามซอกเล็กซอกน้อยของผิวหนังได้ทั่วถึง อีกทางหนึ่งก็คือ เพื่อรอให้ปฏิกิริยาทางเคมีเกิดขึ้นแล้วไปทำลายพันธะที่อยู่บนเปลือกไวรัสนั่นเอง
เวลาที่ว่านี้ไม่นานหรอกครับ แค่ 20 วินาทีเท่านั้น นับ 1 ถึง 20 หรือเผื่อออกไปอีกสักเล็กน้อยเป็น 30 ก็พอ
เจลแอลกอฮอล์ก็ฆ่าไวรัสโควิด-19 ด้วยวิธีเดียวกันนี้แหละครับ เพียงแต่การใช้เจลยังคงทำให้ไวรัสติดอยู่กับมือเราตายหมดหรือไม่ก็ยังติดอยู่ครับ
ไม่เหมือนล้างมือด้วยสบู่ที่จะชะมันทิ้งไปจนหมด นี่คือข้อที่สบู่ดีกว่าเจลไงครับ