ไม่ว่าจะต้องการ หรือไม่ต้องการ นับแต่บุรีรัมย์ อุทัยธานี ประกาศ “ปิดเมือง” ออกมา ก็เกิดอีก “แนวทาง” ในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ขึ้น
1 เป็นแนวทางจาก “ทำเนียบ” 1 เป็นแนวทางจาก “บุรีรัมย์ อุทัยธานี”
แม้ว่ากระบวนการ “ปิดเมือง” อันมาจากบุรีรัมย์ อุทัยธานี จะยังไม่เข้มเหมือนกับที่เคยเห็นจากอู่ฮั่น เหมือนกับที่เคยเห็นจากมิลาน
แต่นี่คือลักษณะ “นำร่อง” ในทางความคิด
ยิ่งแนวทางจาก “ทำเนียบ” สะท้อนท่วงทำนองละล้าละลังมากเพียงใด ยิ่งทำให้เกิด “เส้นแบ่ง” อันเด่นชัดมากเพียงนั้น
ขณะเดียวกัน ข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสก็จะเป็นพลังกระตุ้น
ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพบคนติดเชื้อที่เลย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพบคนติดเชื้อที่นครราชสีมา ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพบคนติดเชื้อที่นครศรีธรรมราช
ระทึกและเขย่าขวัญ
กรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สะท้อนให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า การกุม “ข้อมูล” มิได้หมายความว่าจะเป็นพลังและ “อำนาจ” เสมอไป
ขอให้ดูกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่าจะมองในสถานะแห่งการเป็น “นายกรัฐมนตรี” ไม่ว่าจะมองในสถานะแห่งการเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม”
ถือว่าสูงเด่น เหนือกว่าทุกคน
คำถามอยู่ที่ว่า ในฐานะที่อยู่ในจุดอันกุม “ข้อมูล” ได้เหนือกว่าคนอื่น แล้วเหตุใดจึงไม่สามารถใช้ข้อมูลในมือเสริม “อำนาจ” ได้
กลับกลายเป็นคะแนนและความนิยมลดลง
นั่นก็เนื่องจาก กระบวนการและวิธีวิทยาในการบริหารข้อมูลไม่อาจทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุส่วนตัว ไม่ว่าจะด้วยอิทธิพลแห่งระบบ
ภาพลักษณ์จึงเป็น “ลบ” มากกว่าที่จะเป็น “บวก”
อิทธิพลแห่งระบบซึ่งยึดติดอยู่กับลักษณะอันสะสมมาอย่างยาวนานของโครงสร้าง “รัฐราชการรวมศูนย์” นั่นเองที่หล่อหลอมตัวตน
ไม่ว่าตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าตัวตนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ผลก็คือ 1 ดำเนินไปในลักษณะของการกั๊กข้อมูล ไม่เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา ผลก็คือ 1 มองเห็นประชาชนเป็นเหมือนบริวาร มิได้มีสถานะเท่าเทียมกัน
ทุกอย่างจึงดำเนินไปในแบบ “คุณพ่อรู้ดี”
วิธีวิทยาในทางความคิด ก่อให้เกิดกระบวนการบริหารเช่นนี้ ขณะที่ในความเป็นจริงสังคมไทยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก
ได้เข้าไปสู่พื้นที่แห่ง “ยุคดิจิทัล” แล้ว
ภาพเปรียบเทียบระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จึงได้บังเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ยิ่งเมื่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไลฟ์ก็ยิ่งแจ่มชัดในจุดต่าง
ถึงมิได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่สังคมไทยอ่านออกได้โดยปริยายว่า ในที่สุด แนวทาง “ทำเนียบ” ก็จะต้องดำเนินไปในแบบเดียวกับ “แนวทางบุรีรัมย์ อุทัยธานี”
ไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ยิ่งกว่านั้น จากอาการละล้าละลัง ตัดสินใจช้า ผลสะเทือนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะดำเนินไปในลักษณะของการดิสรัปต์
ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามมาแน่นอน