ที่เห็นและเป็นไป : ที่ประชาชนต้องการ

ก็จริงอยู่ หากเทียบสถานการณ์ระบาดของ โควิด-19 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ในโลก ความเป็นไปเรายังเบากว่าอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะจำนวนผู้ป่วย หรือผู้เสียชีวิต
แต่ทั้งที่โดยตัวเลขยังไม่ถือว่ารุนแรงนั้น ทำไมความตื่นตระหนก หวาดกลัว จึงเกิดขึ้นมากมาย ดูว่าความวิตกกังวลของคนไทยมีมากกว่าประเทศที่สถานการณ์รุนแรงกว่าบางประเทศด้วยซ้ำ ในหลายประเทศทั้งที่สถานการณ์ย้ำแย่ ประชาชนแสดงกิจกรรมร่วมกันเพื่อให้กำลังใจกันและกัน อย่างเช่นการร่วมเล่นดนตรี   ร้องเพลงและทักทายกันจากห้องของแต่ละคนในตึกสูงที่อยู่ในย่านเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่พร้อมจะร่วมมือร่วมใจฟันฝ่าวิกฤตจากภัยร้ายไปด้วยกัน
ทำไมจิตพร้อมร่วมใจไม่เกิดขึ้นกับคนไทยในยามต้องเผชิญสถานการณ์เลวร้ายร่วมกัน
ใช่หรือไม่ว่า เพราะคนไทยต้องเผชิญสถานการณ์อย่าง “ไม่มีความหวัง”

แน่นอนว่า เมื่อสรุปอย่างนี้ จะต้องตอบคำถามว่า “ประชาชนไทยหวังอะไร” และ “ทำไมไม่มีความหวัง”      ซึ่งหากรวบรวมอย่างคร่าวๆ หรือความหวังกว้างๆ ในกรอบของ
“อดีต” หมายถึงที่เป็นมา
“ปัจจุบัน” อันหมายถึงที่เป็นอยู่
และ “อนาคต” อันหมายถึงที่จะเป็นไป
เมื่อมองผ่าน 3 กรอบกว้างๆ นี้ ปฏิเสธได้หรือไม่ว่า เหมือนกับคนไทยไม่รู้อะไรเลย
“อดีต ที่เป็นมา” เมื่อเกิดการระบาดที่จีน และลุกลามสู่ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศต่างๆ ใกล้เคียง ก่อนที่ลามเข้าประเทศไทย ประชาชนไทยมองไม่เห็นเลยว่าประเทศสร้างความเชื่อมั่นในการป้องกันไว้อย่างไร การจัดการกับนักท่องเที่ยว หรือผู้คนที่มีโอกาสเป็นพาหะนำโรคมีอย่างไร เชื่อถือได้แค่ไหน
ไม่มีคำตอบในทางเชื่อถือได้ มีแต่เรื่องราวของความละเลย ไร้มาตรการรับมือ

นอกจากนั้นแม้กระทั่งความเชื่อมั่นว่าประชาชนที่อยู่ในประเทศสามารถคุ้มครองตัวเอง หาทางป้องกันการระบาดได้ยังไม่มี ไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่คิดป้องกันตัวเอง เพราะกระทั่งคนที่กระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือตัวเองดูแลป้องกันตัวเองยังทำไม่ได้ หรือได้อย่างยากลำบาก เพราะขาดแคลนทั้งความรู้ที่ถูกต้องและอุปกรณ์ เครื่องใช้ที่จะทำให้ช่วยเหลือตัวเองได้
ซ้ำความขาดแคลนนั้นยังมีข่าวเรื่องการทุจริต ฉกฉวยโอกาสของคนในรัฐบาลเป็นต้นเหตุ
ซ้ำเติมความเชื่อมั่น บั่นทอนขวัญและกำลังใจ
ท่ามกลางการบริหารจัดการที่ขาดความชัดเจนในทุกมิติ

มาถึง “ปัจจุบัน ที่เป็นอยู่” ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในอัตราทำลายสถิติประจำวันทุกวัน จำนวนผู้ป่วยเพิ่มแบบก้าวกระโดดทวีคูณ ท่ามกลางความสิ้นหวังต่อการควบคุมการระบาด เพราะแม้แต่คณะทำงานยังงุนงงต่อการปิดบังตัวเองของผู้ที่อยู่กลุ่มเสี่ยงซี่งมีโอกาสแพร่เชื่อ
อย่างการขอร้องให้คนที่ไปอยู่ในสนามมวยกว่า 7,000 คน ในวันที่มีคนติดเชื้อกันอย่างมโหฬารมารายงานตัวเพื่อตรวจ
ตั้งเป้าไว้แค่ 500 คน จาก 7,000 กว่าคนที่ว่า แต่สามารถตามตัวได้แค่ 50 คน
สะท้อนถึงความล้มเหลวในการป้องกันอย่างสิ้นเชิง

Advertisement

นี่ไม่รวมถึงกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ที่ยังใช้ชีวิตกันเป็นปกติ ด้วยความจำเป็นของการทำมาหากินที่ไม่พร้อมกับสภาพที่ต้องถูกกักตัวโดยที่ไม่มีมาตรการดูแลความเดือดร้อนของครอบครัว
จึงเป็นปัจจุบันที่ต่างคนต่างสิ้นหวังว่าจะป้องกันตัวเองได้
และเมื่อคิดถึง “อนาคต ที่จะเป็นไป” หมายถึงหากป่วยขึ้นมา แม้ทางการแพทย์จะพยายามให้ข้อมูลว่าเป็นโรคที่รักษาให้หายได้
แต่ไม่มีอะไรที่สร้างความมั่นใจให้ได้เลยว่า ประเทศจะมีความสามารถพอที่จะรักษาหากการระบาดเกิดรุนแรงขึ้น ค่ารักษา ความเพียงพอของสถานพยาบาล แม้กระทั่งที่พักเพื่อกักกัน
ไม่มีมาตรการใดๆ จากรัฐบาลที่ประกาศออกมาแล้วที่จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ เหมือนที่จีนสร้าง         โรงพยาบาลเฉพาะขึ้นมารับมือ
ไม่ให้เหมือนกับอิตาลีที่ปล่อยให้ผู้ป่วยตายไปตามยถากรรม
เหล่านี้คือความหวาดกังวลต่ออนาคต

โควิด-19 ไม่ใช่เรื่องน่าวิตกอะไรมาก เพราะถึงแม้จะเป็นก็รักษาได้นั้นจริงอยู่
แต่จริงในประเทศที่รัฐบาลมีความสามารถพอที่จะบริหารจัดการให้ประชาชนมีความหวัง
จริงในประเทศที่ “ผู้นำ” เห็นชีวิตประชาชนทุกคนมีความหมายพอที่จะดูแลอย่างเท่าเทียม

Advertisement

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image