ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ที่เห็นและเป็นไป : ‘ปฏิรูปการเมือง’ของคสช. โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ
“คสช.” เป็นคำย่อของ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก นำกองทัพทำรัฐประหารยึดอำนาจจาก “รัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งของประชาชน” ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศสถาปนาตัวเองเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” สามารถออกคำสั่งเพื่อจัดการประเทศได้ทุกเรื่อง เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ถึงวันนี้ครบ 6 ปีพอดี
เหตุผลสำคัญที่ คสช.หยิบยกขึ้นมาใช้ประกาศถึงความจำเป็นต้องล้มล้างประชาธิปไตย เอาอำนาจเต็มมาขึ้นกับตัวบุคคล หรือคณะบุคคลเป็นไปในทำนองให้เกิดความคิดว่า “การเมืองเป็นความเลวร้ายความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศถึงทางตัน ไม่สามารถบริหารจัดการประเทศได้”
ดังนั้นจึงต้องยึดเอามา โดยภารกิจจำเป็นและเร่งด่วนคือ “ปฏิรูปการเมือง”
6 ปีผ่านไป “การเมืองได้รับการปฏิรูปแล้วหรือยัง” เป็นคำถามดูเหมือนไม่มีคำตอบ
ฝ่ายที่ต่อต้านอำนาจเผด็จการ เอาประชาธิปไตยเป็นเป้าหมาย เป็นตัวตั้ง มองว่าผลพวงต่อรัฐประหารต่อพัฒนาการการเมืองที่มี “รัฐธรรมนูญ 2560” และ “กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ” เป็นรูปธรรมยิ่งทำให้การเมืองเลวร้าย เพราะมีเจตนาชัดเจนว่า “อำนาจของคณะบุคคลที่ทำรัฐประหาร” มาสืบต่อดำรงอยูใน “รัฐบาลหลังเลือกตั้ง”
ปรับภาพของการยึดอำนาจด้วยกำลังกองทัพ มาเป็น “ยึดอำนาจด้วยกฎหมาย”
ทำให้การปกครองประเทศสิ้นสภาพประชาธิปไตยในความหมายที่เป็นสากล คือ “อำนาจของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน” ไปอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนการสืบทอดอำนาจ มองว่า “ประเทศไทยจำเป็นต้องทำเช่นนั้น” ต้องเป็น “ประชาธิปไตยในรูปแบบที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย”
การให้อำนาจสมาชิกรัฐสภาที่มาจากการแต่งตั้งอย่างล้นหลาม รวมถึงการกำหนดกลไกและตัวบุคคลองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีบทบาทชี้ถูกผิด และลงโทษทางการเมืองอย่างสูงยิ่ง ระดับที่ใช้เพื่อกำหนดทิศทาง ความเป็นไปทางการเมือง แก้ไขข้อติดขัดในการใช้อำนาจของคณะบุคคลได้เลย
เป็นความถูกต้องเหมาะสมแล้ว
เหมาะสมและถูกต้องเช่นเดียวกับการจำกัดบทบาทของนักการเมือง และพรรคการเมืองไว้ในกรอบที่กลไกซึ่งถูกออกแบบให้เอื้อต่ออำนาจคณะบุคคลสามารถควบคุม ไม่ให้หืออือได้
ต่างฝ่ายต่างมีมุมมองต่อ “ผลการปฏิรูปการเมืองโดย คสช.” ไม่เหมือนกัน และถกเถียงกันมา 6 ปีเต็มๆ แล้วในเรื่องต่างมุมมองนี้
ต่างฝ่ายต่างก็เชื่อว่า แนวทางของตัวเองดีกว่า
ดีกว่าในระดับที่เห็นแนวทางของอีกฝ่ายเป็นความเลวร้ายต่อการพัฒนาประเทศ และชีวิตความเป็นอยู่ สิทธิเสรีภาพของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ผ่านไป 6 ปี การถกเถียงเป็นเรื่องหนึ่ง ขณะที่การดำเนินการให้เป็นไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ยังเถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด
แต่การดำเนินการเป็นไปตามแนวทาง “อำนาจของคณะบุคคล” อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะถกเถียงกันอย่างไร ที่เป็นไปคือแนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนจาก “ข้าราชการทุกหมู่เหล่า” จาก “นักการเมืองและพรรคการเมืองที่คุมเสียงข้างมาก”
และยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า นักการเมืองและพรรคการเมืองฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ นับวันจะมีพลังในการต่อต้านตรวจสอบน้อยลงด้วยทั้งถูกบั่นทอนบทบาทลง และถูกสลายให้แตกมารวมกับอีกฝ่ายตลอดเวลา
อีกทั้งจาก “ประชาชนส่วนหนึ่ง”
ที่การถกเถียงว่าเป็นส่วนใหญ่หรือไม่ เป็นคำตอบที่ไม่มีอะไรยืนยันได้ชัดเจน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลที่จะมาอ้างว่า “ส่วนใหญ่สนับสนุนฝ่ายตัว” ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
นั่นหมายถึง ไม่ว่าจะเรียก “ปฏิรูปการเมืองหรือไม่” ก็ตาม แต่ “การเมืองไทยเปลี่ยนไปแล้ว”
เปลี่ยนมาเป็น “ประชาธิปไตย” ที่เอื้อสิทธิพิเศษต่อการครอบครองอำนาจให้กับคณะบุคคล
การตีความว่าความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็น “ปฏิรูปการเมืองหรือไม่” ดูจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะทำให้การถกเถียงวนไปเวียนมาอย่างไม่รู้จบ
การพิจารณาและชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลง และเกิดการใช้อำนาจด้วยระบบแบบนี้มา 6 ปีเต็มๆ ส่งผลอะไรต่อการพัฒนาประเทศชาติ และชีวิตประชาชน ดูจะเป็นประโยชน์กว่า
ที่สำคัญที่สุดคือ “ประชาชนแต่ละคนต้องตอบตัวเอง” ว่า “ระบบการเมืองแบบนี้ทำให้ชีวิตตัวเองและครอบครัวดีขึ้นหรือไม่”
เพราะมีแต่ร่วมมือร่วมใจกันตอบคำถามนี้ และร่วมกันแสดงออกให้เห็นถึงความพอใจ ไม่พอใจเท่านั้น
จึงจะตัดสินใจได้ว่า “ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการการปฏิรูปการเมืองแบบไหน”
ที่เป็นอยู่ขณะนี้ใช่หรือ
และถ้าคำตอบคือ “ไม่ใช่” จะลงมือหาทางให้เป็นไปในทางที่ “ใช่” ได้อย่างไร