ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ตัวเลขอภินิหาร ตัวเลขเศรษฐกิจ กับระเบิดเวลา
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงตัวเลข ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาสที่ 1/2563 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ว่าอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 1.8
แม้จะเป็นตัวเลข “ติดลบ”
แต่ก็ยังเป็นตัวเลขที่มีผู้ตั้งคำถาม
เป็นคำถามที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างประสบการณ์จริงกับตัวเลข
หรือแม้กระทั่งจากตัวเลขที่แถลงเอง
เพราะด้านหนึ่ง การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 2.7
ขณะที่ภาคบริการลดลงร้อยละ 1.1 ตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว
การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลลดลงร้อยละ 2.7
การลงทุนลดลงร้อยละ 6.5
การส่งออกลดลงร้อยละ 6.7
และการนำเข้าสินค้าและบริการลดลงร้อยละ 2.5
มีเพียงการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชน ขยายตัวร้อยละ 3.0
หลังปรับปัจจัยฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1/2563 ลดลงร้อยละ 2.2
ข้อสงสัยก็คือ ในขณะที่ตัวเลขอื่นๆ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุน รวมไปถึงการใช้จ่ายของรัฐบาล ที่มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 70-80 ในจีดีพี
ตัวเลขบวกจำนวนเดียวจากการบริโภคภาคเอกชน สามารถฉุดดึงให้เศรษฐกิจ “ติดลบน้อย” ได้ถึงระดับนี้จริงหรือ
หรือในสังคมที่มี “อภินิหารทางกฎหมาย” แล้ว
ยังสามารถสรรค์สร้าง “อภินิหารทางตัวเลขเศรษฐกิจ” ขึ้นมาได้อีก
คําถามต่อมาก็คือ
เมื่อตัวเลขทางเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1 นั้น “ดูดี”
รัฐบาลจะเตรียมใจคนส่วนใหญ่อย่างไร ไม่ให้เกิดอาการ “ช็อก” เมื่อประสบกับ “ของจริง” ในไตรมาสที่ 2
ที่ทุกสำนักทุกสถาบันพยากรณ์เศรษฐกิจ เห็นตรงกันว่า จะหนักหนาสาหัสกว่าไตรมาสที่ผ่านมาหลายเท่า
เพราะโดยการแพร่กระจายของโรคระบาดก็ดี โดยมาตรการของรัฐบาลก็ดี หรือโดยสถานการณ์ความตกต่ำโดยรวมของโลกก็ดี
ความเสื่อมทรุดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ยังไม่นับ “ระเบิดเวลา” ที่รออยู่ข้างหน้า
ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำให้ข้อมูลไว้ว่า
เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการ “พักหนี้” ที่สถาบันการเงินให้กับลูกหนี้ในปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม
ปริมาณหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจะทบกันเป็นจำนวนมหาศาล
หากไม่ต้องการให้เกิดสภาพลูกหนี้ล้มละลาย หรือเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล
ในขณะที่ระดับ “ความอึด” ของธุรกิจเอสเอ็มอีมีเพียง 1-2 เดือน
หรือแม้แต่ธุรกิจขนาดใหญ่ก็ “ดำน้ำ” ไปได้อย่างมากเพียง 5 เดือน
จึงต้องเร่ง “คืนความปกติ” เพื่อกระตุ้นให้ชีพจรเศรษฐกิจกลับมาเต้นได้ดังเดิม
หรืออย่างน้อยคือใกล้เคียงกับของเดิม
ทั้งหมดนี้ต้องใช้ข้อมูล นโยบาย และมาตรการที่ถูกต้อง
ไม่สามารถพึ่งพิงปาฏิหาริย์
หรือความจริงใจที่ไหนได้