บทนำ : ระบบการศึกษา
โรงเรียนจะเปิดเทอมอีกครั้ง ภายใต้มาตรการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเชื่อกันว่าจะมาเร่งการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและวิถีของสังคม ก่อนหน้านั้น เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ โดยเฉพาะระบบอินเตอร์เน็ต ได้เข้ามากำหนดความเปลี่ยนแปลงต่างๆ และการสื่อสารไร้สายก้าวหน้าถึงเจเนอเรชั่นที่ 5 หรือ 5จีแล้ว ยิ่งทำให้อัตราเร่งรุนแรงมากขึ้นอีก เยาวชนคนรุ่นใหม่จะเติบโตในบรรยากาศและสภาพของความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ดังนั้น ระบบการศึกษาของไทยจะต้องเร่งปรับตัวเอง และก้าวให้ทันการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ของเยาวชนคนรุ่นใหม่
น่าสังเกตว่า ระบบการศึกษาของไทย ยังมีแนวความคิดเดิมๆ ที่จะบังคับให้นักเรียนคิดและเชื่อตามที่ครูผู้สอนเข้าใจ การเน้นวินัยเข้มงวด ในเรื่องการแต่งตัว ทรงผม และรูปแบบภายนอกอื่นๆ มากกว่าจะให้นักเรียนมีอิสระในความคิดและการแสดงออก การใช้ตรรกะที่เน้นเหตุผล บรรยากาศประชาธิปไตยในโรงเรียนและสถานศึกษา จนเกิดปัญหาการปะทะระหว่างครูและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง อาทิ เมื่อเร็วๆ นี้ มีโรงเรียนกำหนดให้นักเรียนชายหญิงสวมหน้ากากผ้าสีเดียวกัน โดยโรงเรียนกำหนดสีให้ หรือกรณีที่มีประกาศระเบียบกระทรวงศึกษาธิการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ แต่มีกระแสข่าวว่า มีหลายโรงเรียนเกิดปัญหา เนื่องจากครูไม่เห็นด้วย และกำหนดเงื่อนไขต่างๆ มาบังคับ จนดูเหมือนกับขัดแย้งกับระเบียบกระทรวง
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการพบรูปนักเรียนสวมเสื้อปักชื่อนามสกุลและชื่อโรงเรียนในหนังสือมือสอง เมื่อสืบค้นพบว่า นักเรียนในรูปเติบโตมาเกี่ยวข้องกับคดีร้ายแรง ทำให้เกิดการรณรงค์ให้งดปักชื่อ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดี ที่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้แสดงให้เห็นว่า เข้าใจในเรื่องสิทธิเสรีภาพของเยาวชน ทั้งในเรื่องหน้ากากสีเดียวกัน และเรื่องปักชื่อ จึงน่าจะถึงเวลาที่จะทำให้ระบบการศึกษาทั้งระบบ เข้าใจและยอมรับสิทธิเสรีภาพของเยาวชน และมีการปฏิบัติที่เปิดกว้างในทิศทางเดียวกัน นำเอาเวลาที่เสียไปกับการเข้มงวดระเบียบวินัยแบบเดิมๆ มาใช้ในการพัฒนาความคิดความรู้ของเด็ก เยาวชนนักเรียน น่าจะเป็นประโยชน์กับอนาคตของชาติมากกว่า
