ยิ่งการปรับครม.ทอดเวลา ”ยาว” ออกไปมากเพียงใด ยิ่งจะทำให้”อำ นาจ”ที่อยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีเหลือน้อยลงมากขึ้นเพียงนั้น
ฉะนั้น ใครที่คิดว่าการที่การปรับครม.ยืดเยื้อจากเดือนพฤษภา คมมาถึงเดือนกรกฎาคมคือการแสดงพลานุภาพในทางการเมือง
เป็นพลานุภาพแห่งอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ก็ขอให้ดูจากสภาพความเป็นจริงอันกำลังเกิดขึ้นจากความขัดแย้งซึ่งเคยจำกัดกรอบอยู่แต่เพียงภายในพรรคพลังประชารัฐว่าได้ขยายออกไปอย่างไร
ผลของการรวบอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จด้วยการชูภาพ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นมาในฐานะหัวหน้าพรรคเป็นอย่างไร
ประการแรกสุดที่สัมผัสได้ คือ การยื่นใบลาออกจากสมาชิกภาพของ นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล
ทั้งๆที่ 4 คนนี้เคยได้รับเรียกขานอย่างยกย่องว่า “4 ยอดกุมาร” ผู้สร้างพรรคพลังประชารัฐ
เหมือนกับว่าการยื่นใบลาออกของ “กลุ่ม 4 ยอดกุมาร”ผู้เคยดำรงตำ แหน่งระดับหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค จะเป็นการประท้วงโดยตรงไปยังการเปลี่ยนแปลงในพรรค
อันเท่ากับเป็นการปฏิเสธบทบาทและการเข้ามาเป็นหัวหน้าของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ขณะเดียวกัน แม้จะลาออกจากพรรคพลังประชารัฐแต่ก็ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระ ทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา
โดยยืนยันว่าจะอยู่หรือว่าจะไปให้เป็นอำนาจของ พล.อ.ประ ยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ตรงนี้ก็เท่ากับเป็นปลายหอกที่”เสี้ยม”ให้เกิดการประลองพลังระหว่างพรรคพลังประชารัฐที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัว หน้า กับรัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ขึ้นอยู่กับว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะตกลงกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้หรือไม่
ไม่ว่าจะมองด้วยสายตา ”นักการทหาร” ไม่ว่าจะมองด้วยสายตา ”นักการตลาด” ไม่ว่าจะมองด้วยสายตา ”นักการเมือง”
ทั้งหมดนี้คือปัญหา ”ภายใน” เป็นการก่อกันขึ้นเองจาก ”ภายใน”
หนักหนาที่สุดนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557