ผู้เขียน | ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช |
---|
สงครามเย็นจีน-สหรัฐเวอร์ชั่นใหม่
พลันที่สหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนที่เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส จีนก็ได้สั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นการตอบโต้การกระทำของสหรัฐ
และที่สำคัญคือเป็นการปกป้องรักษาศักดิ์ศรีทางการทูต
บัดนี้ ความขัดแย้งทางการทูตจีน-สหรัฐดุเดือดรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ทั้ง 2 ประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นเวลาเกินกว่า 40 ปี กาลอดีตได้เกิดความขัดแย้งในประเด็นต่างๆ มากมาย เหตุการณ์รุนแรงได้แก่ ช่องแคบไต้หวัน สถานเอกอัครราชทูตจีนที่ยูโกสลาเวียถูกทิ้งระเบิด ตลอดจนเครื่องบินชนกันบนน่านน้ำทะเลจีนใต้ เป็นต้น ทั้ง 2 ประเทศสามารถตกลงประนีประนอมยอมความกันด้วยดี
ทว่าแนวทางของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ สวนทางกันโดยสิ้นเชิง
อุปมาเหมือนกับการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ การสั่งปิดสถานกงสุลครั้งนี้ เป็นพฤติการณ์เจตนาสร้างศัตรู ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรง และยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต
นอกจากเป็นปฏิบัติการณ์กะทันหัน เหตุผลที่กล่าวอ้างคลุมเครือและห่างไกลจากความเป็นจริง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ อ่อนแอและเสี่ยงภัยยิ่ง
ก็เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ มีความประสงค์จะรักษาตำแหน่งไว้อีก 1 สมัย หวังเพียงให้บรรลุเป้าหมาย โดยไม่คำนึงถึงเหตุและผล
ลูกหาบฝ่ายเหยี่ยวทำเนียบขาว งานจึงเข้า เป้าคือจีน
การทำงานการเมืองที่ไม่เคารพระเบียบวินัยสากลนั้น อาจเป็นเหตุให้เกิดการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางการทูต ไม่ว่าจะเป็นทางการทหาร
ฉะนั้น ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐกำลังดิ่งลง และไม่มีคำว่าเลวร้ายที่สุด มีแต่เลวร้ายมากขึ้น
ว่ากันว่า สงครามเย็นมาเยือนแล้ว
หากย้อนมองสงครามเย็นสหภาพโซเวียต-สหรัฐ เป็นจำนวนบ่อยครั้งที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างขับไล่นักการทูต ครั้นเมื่อสงครามเย็นยุติ เหตุการณ์ขับไล่นักการทูตก็บางตาไป
ทว่าบัดนี้ดูเหมือนจีนได้เข้าแทนที่สหภาพโซเวียตเรียบร้อยแล้ว
ในสายตาของสหรัฐ จีนได้กลายเป็นผู้ท้าทายที่ใหญ่ที่สุด ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา วอชิงตัน เพื่อสกัดการแจ้งเกิดของจีน มาตรการกดดันจีน เสมือนผ่านคลื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า เทคโนโลยี การโฆษณาชวนเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาไต้หวัน หรือฮ่องกง สหรัฐสลับฉากเล่น
บทบาทและลีลาการเล่นมีความแตกต่างกับสหภาพโซเวียต
แต่เป้าหมายเหมือนกันคือ ตีไม่ให้โต
จึงมีเสียงนกเสียงกาดังขึ้น “สงครามเย็นจีน-สหรัฐเวอร์ชั่นใหม่”
เมื่อไม่นานมานี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ไมค์ ปอมเปโอ ได้ออกเดินทางไปทั่วทุกสารทิศ ทำการยุยงปลุกปั่น เดินสายให้ประเทศตะวันตกทำการ boycott ประเทศจีน และสนับสนุนประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เกิดความขัดแย้งกับจีน ในประเด็นทะเลจีนใต้ ตลอดจนการโจมตีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อีกทั้งเรียกร้องให้ก่อตั้งพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อต่อต้าน “การคุกคามของคอมมิวนิสต์จีน”
วันนี้ สหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนที่เมืองฮิวสตัน รัฐเท็กซัส แบบสายฟ้าแลบ อันอาจเป็นเหตุให้บรรยากาศสงครามเย็นเวอร์ชั่นใหม่ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น
ย้อนมองกาลอดีต 2017 รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เคยสั่งปิดสถานกงสุลรัสเซียที่ซานฟรานซิสโก สาเหตุเกิดจากสภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายคว่ำบาตรรัสเซียเข้มข้นขึ้น รัสเซียตอบโต้ด้วยการขอให้สหรัฐลดจำนวนนักการทูตลงไป 455 คน
โดนัลด์ ทรัมป์ จึงสวนกลับด้วยการสั่งปิดสถานกงสุลรัสเซีย
แม้ทรัมป์มีการตอบโต้ แต่ทำเนียบขาวก็แสดงเจตนาให้ยุติความขัดแย้งทางการทูตไประดับ 1 เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้ง 2 ประเทศปรับปรุงความสัมพันธ์และกระชับความร่วมมือมากขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การที่วอชิงตันสั่งปิดสถานกงสุลจีนที่ฮิวสตัน สิ่งที่ประจักษ์คือเจตนาที่ไม่สู้ดี เพราะยังมองไม่เห็นท่าทีในการปรับปรุงความสัมพันธ์แต่อย่างใด
ตัดกลับไปเมื่อตอนต้นปีเกิดโรคระบาดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ นักการทูตสหรัฐและครอบครัวร่วมพันคนได้เดินทางกลับประเทศ และเมื่อไม่นานมานี้ก็เดินทางเข้าจีนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
สื่อต่างประเทศรายงานว่า การกลับเข้าประเทศจีนของนักการทูตสหรัฐได้เกิดปัญหา
คือปัญหาไม่ยอมรับการกักกัน (state quarantine) ทั้งนี้โดยอ้างว่า จีนกระทำละเมิดต่อสิทธิของนักการทูต อีกทั้งสงสัยว่าจีนอาจฉวยโอกาสเก็บเอาตัวอย่าง DNA เพื่อวัตถุประสงค์หนึ่งประสงค์ใด แต่ผู้สันทัดกรณีในแผ่นดินใหญ่กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง
หากว่าตามธรรมเนียมทางการทูต การขับไล่นักการทูต สมมุติว่ามีพฤติการณ์สอดแนม ก็จะมีการใช้ภาษาการทูต (diplomatic language) เช่น “การปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง” เป็นต้น แต่การสั่งปิดสถานกงสุลจีนครั้งนี้ ไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งที่ใช้ภาษาการทูตแต่อย่างใด
ทำเนียบรัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ว่า “เพื่อเป็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐและข้อมูลส่วนตัวของคนอเมริกัน วอชิงตันมิอาจทนต่อการคุกคามอธิปไตยของสหรัฐ”
เห็นว่า แถลงการณ์ของสหรัฐมีช่องว่างและคลุมเครือ อีกทั้งไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คำกล่าวอ้างใดๆ ที่ไม่อาจนำสืบได้ จึงรับฟังมิได้
เพราะเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การสั่งปิดสถานกงสุลจีนที่ฮิวสตันในครั้งนี้ ไม่ว่าเจตนาของวอชิงตันจะเป็นประการใด หากในมุมมองของปักกิ่งจะเป็นอื่นมิได้ นอกจาก “พฤติกรรมเลวร้าย”
จึงไม่แปลกที่กระทรวงต่างประเทศจีนได้ประณามว่าเป็นการกระทำของอันธพาล และได้ขอให้เพิกถอนการตัดสินใจโดยพลัน หากมิฉะนั้น จีนจำเป็นต้องทำการตอบโต้ที่เหมาะสมต่อไป
เหตุการณ์โรคระบาดไวรัสในสหรัฐ เป็นเหตุให้ความนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์ ตกต่ำชนิดกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ โอกาสที่จะเป็นประธานาธิบดีอีก 1 สมัยนั้น แทบจางหายหมดไป
ดังนั้น การเล่นเรื่อง “ประเทศจีน” จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทรัมป์คิดว่าน่าจะเป็นการตีตื้นเรียกคืนวิกฤตศรัทธา ในขณะที่ “ไมเคิล แม็คคอล” ประธานความมั่นคงรัฐสภาแห่งพรรครีพับลิกัน ผู้ซึ่งทำหน้าที่เสมือนกำแพงของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เรียกร้องให้วอชิงตันควรต้องรับรอง
“ไต้หวันคือประเทศเอกราชที่ชอบด้วยกฎหมาย” กรณีคือ
กำลังเล่นกับไฟ
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช