ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ที่เห็นและเป็นไป : ความสามารถที่รอพิสูจน์ โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ
การปรับคณะรัฐมนตรีเรียบร้อย ได้เห็นรายชื่อกันแล้วว่าใครเป็นใครในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ หลังทีม 4 กุมาร ที่นำโดย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ลาออกไปทั้งทีม
ถ้าถามว่าดูดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ก็คล้ายกับยังไม่ชัดเจน ด้วยเหตุผลว่ายังไม่ได้เริ่มทำงาน มีบางคนมองว่าชื่อชั้นยังเทียบกับ “ทีมสมคิด” ไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ ชื่อชั้นเป็นเพียงภาพอันเกิดจากความรับรู้ของคนที่ประเมิน ยังไม่แน่ว่าหลังจากทำงานแล้ว เรื่องราวใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากผลงานของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่อาจจะทำให้ต้องประเมินชื่อชั้นกันใหม่ก็ได้
ใครเหนือกว่าใครจึงยังไม่แน่ แต่ที่แน่อย่างปฏิเสธไม่ได้คือ “พลังอำนาจ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้เป็น “นายกรัฐมนตรี”
ก่อนที่รายชื่อคณะรัฐมนตรีจะลงตัว มีเกมต่อรองเกิดขึ้นหลากหลายสร้างแรงกดดันที่ดูจะอ่อนไหวต่อเสถียรภาพรัฐบาลอยู่ไม่น้อย
แต่แล้วทุกอย่างกลับเป็นไปตามที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ยืนยัน คือ “ก็เสนอกันมา แล้วคอยดูแล้วกัน อำนาจการแต่งตั้งอยู่ที่ผม”
ซึ่งที่สุด ผลที่ออกมาสะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์จัดการได้อย่างเด็ดขาด แรงกดดันที่คล้ายว่าจะมีรุนแรงก่อนหน้านั้นสลายหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ความเป็นไปเช่นนี้ จะสะท้อนชัดว่า “พล.อ.ประยุทธ์มีความสามารถในการบริหารอำนาจที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง”
เป็นผู้ควบคุมการใช้อำนาจเด็ดขาดไว้อย่างที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่ายังเป็นรัฐบาลที่จะอยู่อย่างมั่นคง ยั่งยืนอีกยาว ไม่มีอะไรที่จะมาสั่นคลอนได้
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของ “การบริหารเพื่อให้รักษาอำนาจไว้ได้” ซึ่งเป็นความสามารถในเชิง “การวางเกมการเมือง”
แต่สำหรับประเทศชาตินั้น ยังมีความสามารถสำคัญอีกอย่างหนึ่งรอการพิสูจน์
นั่นคือ “ความสามารถในการบริหารประเทศ”
ความสำเร็จของการบริหารประเทศอยู่ที่ “ความเจริญรุ่งเรืองของชาติ การอยู่ดีมีสุขของประชาชน”
ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศขณะนี้ท้าทายยิ่ง
ความเป็นไปด้านเศรษฐกิจที่หลายปัจจัยบ่งชี้ว่ากำลังเข้าสู่ความเสื่อมทรุดอย่างหนัก ธุรกิจหยุดกิจการกันระนาว ห้างร้านปิดตัว ประชาชนตกงาน นักศึกษาจบใหม่มีแนวโน้มว่าจะหางานทำไม่ได้
ปัญหาปากท้องประชาชนจะท่วมท้น และก่อความทุกข์ยากทุกหัวระแหง
มีโรคระบาดร้ายแรงเกิดขึ้น
ในทางการเมืองเกิดความขัดแย้งลุกลามขึ้นเรื่อยๆ ความแตกแยกของคนในชาติที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างระหว่างวัย ทำให้เด็กกับผู้ใหญ่ต่างชี้หน้าโทษกันและกัน ท่ามกลางสภาวะของชีวิตที่เมตตาธรรมคลายจางจากจิตสำนึกของผู้คนลงไปมาก
ซ้ำเติมด้วยปัญหาสังคมอันเกิดจากความเหลื่อมล้ำ และ “ยุติธรรมวิกฤต”
ผู้มีหน้าที่ มีอำนาจที่ควรเป็นหลัก ใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์เข้าตัว และทำลายล้างสิ่งต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคของโอกาสแห่งผลประโยชน์ อย่างไร้สำนึกของการอยู่ร่วมกัน
เรื่องราววิปริตต่างๆ ประเดประดังออกมาให้รับรู้ และส่งผลถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนร่วมสังคมรุนแรง
เหล่านี้ล้วนจำเป็นต้องอาศัยผู้มีอำนาจเข้ามาบริหารจัดการให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควร ที่เอื้อต่อ “การพัฒนาประเทศ” อันมีความพร้อมอกพร้อมใจของประชาชนเป็นพลังสำคัญที่จะร่วมกันผลักดัน
ทำอย่างไรจะสร้าง “ผู้หลักผู้ใหญ่” ที่เข้าใจความรู้สึกสิ้นหวังของเยาวชน ที่เห็นไปในทางว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในวันนี้ สร้างภาระไว้ให้ลูกหลานในอนาคตต้องแก้ไข ใช้หนี้ใช้สิน
ทำอย่างไรให้เยาวชนเห็นว่าจำเป็น ว่าประเทศกำลังวิกฤต จะต้องอดทนที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกัน ความหวังที่ปรารถนาจะมีชีวิตที่ดีในอนาคตนั้นจะต้องร่วมกันสร้าง
ทำอย่างไรคนที่เหนือกว่าจะไม่คิดกอบโกย แย่งชิงช่องทางทำมาหากิน จนคนอ่อนแอกว่าหมดหนทางที่จะทำมาหาเลี้ยงชีวิต หรือถมความหวังจะลืมตาอ้าปากให้ตีบตันขึ้นเรื่อยๆ
ทำอย่างไรที่กลไกรัฐจะไม่มูมมามกับการคอร์รัปชั่น และหาประโยชน์ในทางไม่ชอบ สร้างความเดือดร้อนให้สังคม
รวมถึงการบริหารให้ความเลวร้ายอื่นๆ อีกมากมายให้หมดไป เพื่อให้ “ประเทศอยู่ดี ประชาชนมีสุข” ให้ได้
นี่คือความสามารถของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ประเทศและประชาชนต้องการ
ความสามารถในการ “บริหารอำนาจ” นั้น พล.อ.ประยุทธ์พิสูจน์แล้วว่ายอดเยี่ยม
แต่ที่รอการพิสูจน์มาเนิ่นนานหลายปีแล้วคือ “ความสามารถในการบริหารประเทศ”
ว่ามีอยู่หรือไม่ในความเป็น “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”