สถานีคิดเลขที่ 12 : พิษภาษี

สถานีคิดเลขที่ 12 : พิษภาษี ช่วงข้าราชการระดับสูงของไทยปรับเปลี่ยน

สถานีคิดเลขที่ 12 : พิษภาษี

ช่วงข้าราชการระดับสูงของไทยปรับเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ หลังพ้น 30 ก.ย.เข้าสู่ 1 ต.ค. พลันให้นึกเปรียบเทียบถึงข่าวครึกโครมที่สหรัฐอเมริกา

เวลาคนจะเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญ นอกจากดูรายได้ ทรัพย์สินต่างๆ แล้ว ก็ต้องดูเงินที่เสียภาษีให้รัฐด้วย

โดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งจะโดนนิวยอร์กไทมส์ สื่อทรงอิทธิพลเปิดข้อมูลที่น่าตื่นตะลึงว่า เมื่อปี 2559 ที่ทรัมป์ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2016 นั้น เป็นปีที่ลุงและบริษัทของลุง (ทรัมป์ ออร์แกไนเซชัน) จ่ายภาษีรายได้ให้รัฐเพียงแค่ 750 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 23,700 บาท ส่วนปีถัดมาหลังสาบานตนรับตำแหน่งแล้ว ก็จ่าย 750 เหรียญเท่าเดิมนี้อีก

Advertisement

ไม่เท่านั้น ช่วง 15 ปีมานี้ มีอยู่ 10 ปีที่ทรัมป์ไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้เลย เพราะอาศัยแจ้งว่าสูญรายได้มากกว่ามีรายรับ

ด้านสื่อเอียงซ้ายของอังกฤษ เดอะการ์เดียน ลงข้อมูลขยี้ให้เห็นชัดๆ ว่า ปีแรกของการเป็นประธานาธิบดี ผู้นำสหรัฐแต่ละคนจ่ายภาษีกันไปเท่าไหร่

ขณะที่ทรัมป์จ่าย 750 เหรียญ บารัค โอบามา จ่ายไปถึง 1.8 ล้านเหรียญ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช จ่าย 2.5 แสนเหรียญ โรนัลด์ เรแกน จ่าย 1.6 แสนเหรียญ จอร์จ บุช คนพ่อ จ่าย 1 แสนเหรียญ และบิล คลินตัน จ่าย 6.2 หมื่นเหรียญ

Advertisement

หากจะคิดเป็นเงินบาทไทย คูณ 30-31 ก็จะเห็นว่าแต่ละคนจ่ายไม่ใช่น้อยๆ

นิวยอร์กไทมส์รายงานด้วยว่า แบบแสดงรายการภาษีที่ทรัมป์ส่งให้กับหน่วยงานสรรพากร ทำให้ดูเหมือนว่าถึงจะเป็นนักธุรกิจที่ทำเงินได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ก็ขาดทุนต่อเนื่องเพื่อการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี

ด้านท่านผู้นำทรัมป์ตอบโต้ว่า นิวยอร์กไทมส์รายงานข่าวเท็จ พร้อมยืนยันว่าตนเองจ่ายภาษี และจะแสดงให้เห็นเมื่อการขอคืนภาษีแล้วเสร็จ

การต่อสู้กันด้านข้อมูลและหลักฐานแบบนี้เป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย โดยเฉพาะช่วงเวลาหาเสียงเลือกตั้ง คนที่เป็นผู้นำหรือผู้ท้าชิงย่อมจะโดนตรวจสอบอย่างเข้มข้น

สิ่งที่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ คือ นักการเมืองประกาศจะฟ้องสื่อ เพราะเสรีภาพสื่อคือเรื่องที่สำคัญมากสำหรับสังคมอเมริกัน

มีนักการเมืองหลายต่อหลายคนถูกสื่อโจมตีบ้าง เปิดโปงบ้าง แฉบ้าง ทั้งเรื่องการงาน ภาษี ไปจนถึงเรื่องส่วนตัวที่อื้อฉาว แต่ส่วนใหญ่ตอบโต้ด้วยข้อมูลข้อเท็จจริงบางคนรับว่าทำผิดจริง และมีคำอธิบายอื่นที่สังคมยังไม่รับทราบ

บางคนประชาชนให้อภัย และบางคนก็ต้องลาออกไปด้วยความละอายใจ

สำหรับทรัมป์ การต่อสู้รั้งเก้าอี้ประธานาธิบดีคงไม่ง่ายไปกว่าที่เคยสู้กับ ฮิลลารี คลินตัน เมื่อ 4 ปีก่อน เพราะเจอศึกหลายเรื่อง โดยเฉพาะตัวเปลี่ยนเกมที่ชื่อ โควิด-19

จากเดิมทรัมป์ยังคุยถึงผลงานเศรษฐกิจได้อย่างปลาบปลื้ม ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

การที่ทรัมป์กล่าวโจมตีจีนสารพัดเรื่องอาจช่วยรั้งคะแนนเสียงจากกลุ่มชาตินิยมได้ แต่จะพอสำหรับต่อสู้กับคะแนนของคนไม่ชอบวิธีรับมือโควิด คนไม่ชอบวิธีรับมือความขัดแย้งด้านสีผิว คนไม่ชอบปมเลี่ยงภาษี ฯลฯ ได้หรือไม่

เรื่องรุมเร้าเหล่านี้คงทำให้ทรัมป์วุ่นไม่น้อย และคงไม่มีเวลามานั่งปลุกระดมเยาวชนไทยให้ลุกฮือประท้วงรัฐธรรมนูญอย่างที่มีบางคน “มโน” (อย่างฮา) ว่าสหรัฐอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน

ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image