กบกระโดดจากหม้อต้ม

กบกระโดดจากหม้อต้ม

กบกระโดดจากหม้อต้ม

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมานี้ จะต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยว่าเป็นวันที่น่าอัปยศที่สุดวันหนึ่ง การที่รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมของผู้ชุมนุมจำนวนมากที่ประกอบด้วย นักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่ชุมนุมกันบริเวณแยกปทุมวันด้วยวิธีที่โหดร้ายป่าเถื่อนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนผู้ที่มาชุมนุมส่วนมากเป็นนักเรียน นักศึกษา ซึ่งมารวมตัวกันอย่างสันติเพื่อทวงถามอนาคต ไม่ได้มีแนวโน้มที่จะเป็นอันตราย หรือจะมีการใช้อาวุธเพื่อจะก่อความรุนแรงแต่อย่างใด แต่กลับเจอการปราบปรามอย่างป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรม

ผมขอประณามการสลายการชุมนุมในครั้งนี้ เพราะถือเป็นการกระทำที่เลวร้าย ผิดหลักการการปฏิบัติตามหลักสากล มีการใช้ตำรวจปราบจลาจลเต็มรูปแบบ ใช้ทั้งโล่และกระบอง อีกทั้งยังใช้รถฉีดน้ำแรงสูงเพื่อปราบจลาจล และยังใช้น้ำสารเคมีฉีดใส่ฝูงชน พร้อมด้วย แก๊สน้ำตา กับนักเรียนนักศึกษาที่มีมือเปล่า ไม่เข้าใจว่ารัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ ทำไมถึงมีจิตใจโหดเหี้ยมผิดมนุษย์เช่นนั้น ไม่มีใครในประเทศนี้ยอมรับได้ ภาพของเด็กชายตัวเล็กๆ อายุ 5 ขวบที่โดนแก๊สน้ำตาบาดเจ็บ สร้างความสะเทือนใจให้ทุกคนที่ได้พบเห็นรูปที่กระจายกันทั่วในโซเชียล ที่ผมเองยังไม่อาจจะอดกลั้นน้ำตาด้วยความสงสารไว้ได้เมื่อเห็นภาพนี้ เพราะคิดไปถึงว่าเขาเป็นลูกหลานของเราเอง

ที่น่าเศร้าใจเพิ่มขึ้นไปอีกคือ มีการออกหมายจับ และดำเนินคดีกับคุณหมอทศพร เสรีรักษ์ ผู้ซึ่งนำทีมแพทย์อาสาเข้าดูแลผู้ชุมนุม โดยกล่าวหาว่าเป็นการกระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง ทั้งที่คุณหมอทำตามจรรยาแพทย์ที่ต้องเข้าไปดูแลฝูงชนในกรณีที่เกิดมีการเจ็บป่วยโดยเฉพาะช่วงการสลายการชุมนุม โดยคุณหมอถูกนำตัวไปกองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 ซึ่งผมดีใจและภูมิใจมากที่คุณหมอขอให้ผมนั่งรถตำรวจไปพร้อมกับคุณหมอด้วย ซึ่งคุณหมอมีกำลังใจที่ดีมาก

Advertisement

สำนักข่าวต่างประเทศเกือบทุกสำนักทั่วโลก ได้เสนอข่าวความโหดร้ายนี้ให้กระจายไปทั่วโลกแล้ว ชื่อเสียงของประเทศไทยได้เสียหายย่อยยับ อย่างยากที่จะแก้ไขเยียวยาได้ ทั้งที่ในอดีตประเทศไทยมีแต่ ความอบอุ่น ความรักใคร่ปรองดอง ความโอบอ้อมอารี แต่บัดนี้ได้หายไปแล้วอย่างหมดสิ้นจากค่ำคืนนั้น ความน่าเชื่อถือของพลเอกประยุทธ์ที่มีเหลือน้อยอยู่แล้ว ได้หายไปอย่างหมดสิ้นไม่มีเหลืออีกต่อไป ไม่มีทางเลยที่รัฐบาลนี้จะฟื้นฟูเศรษฐกิจและฟื้นความเชื่อมั่นของประเทศนี้ให้กลับมาได้อีกต่อไปแล้ว

หลังจากสลายการชุมนุมในวันนั้น แทนที่นักเรียน นักศึกษา และ ประชาชน จะยอมสยบ และเกรงกลัว กลับปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นได้มีการชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นอีกหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และในหลายจังหวัดด้วยประชาชนจำนวนมาก และชุมนุมติดต่อกันทุกวัน เปรียบเหมือนไฟลามทุ่ง หรืออาจจะเรียกได้ว่าแผ่นดินเริ่มลุกเป็นไฟแล้ว และคงไม่อาจจะดับหรือสงบลงได้ หากพลเอกประยุทธ์ยังไม่ยอมลาออก สถานการณ์น่าจะยิ่งเลวร้ายไปเรื่อยๆ ความขัดแย้งและความแตกแยกของประเทศนี้จะยิ่งทวีความรุนแรง

พลเอกประยุทธ์ไม่เคยเข้าใจเลยว่า การที่นักเรียน นักศึกษา และ ประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุมกันหลายหนก่อนหน้านี้ และมีจำนวนผู้ชุมนุมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มีสาเหตุมาจากความพยายามที่ชี้ให้เห็นว่า พลเอกประยุทธ์กำลังบริหารประเทศไปในทางที่ผิด แต่กลับหลงคิดว่าไปถูกทางแล้ว ทั้งที่ทุกอย่างกำลังเสื่อมถอยอย่างรุนแรง ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมจำนวนมากเหล่านี้เปรียบเสมือนกับกบที่พยายามจะกระโดดออกจากหม้อต้มที่กำลังจะเดือด และกำลังจะตายกันหมดหลังจากพยายามปรับตัวมาตลอดกว่า 6 ปีแล้ว แต่สถานการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ

Advertisement

ทฤษฎีกบต้มนี้ ถูกคิดค้นมาเป็นร้อยปีแล้ว โดยในทฤษฎีอธิบายแบบง่ายๆ ว่า หากนำกบใส่เข้าไปหม้อน้ำร้อนที่กำลังเดือด กบจะพยายามดิ้นรน และกระโดดออกทันที แต่ถ้าหากนำกบใส่เข้าไปในหม้อที่มีน้ำธรรมดาแล้วค่อยๆ เร่งไฟให้ร้อนขึ้น กบจะค่อยๆ ปรับตัวกับความร้อนของน้ำจนในที่สุด เมื่อน้ำเดือดกบก็จะถูกต้มสุก และตายในหม้อต้ม ทฤษฎีนี้ใช้กับประเทศ และบริษัทที่ไม่รู้ตัวว่า มีปัญหา และพยายามฝืนทนไป โดยไม่ปรับปรุงแก้ไข ซึ่งในที่สุดแล้วประเทศนั้นก็จะล้มสลาย หรือบริษัทนั้นก็จะต้องล้มละลายไป

เรื่องนี้ผมเอง ได้นำทฤษฎีกบต้มมาเตือนรัฐบาล และคนไทยตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม คม 2560 หรือกว่า 3 ปีมาแล้ว ว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะกบต้มตามทฤษฎีนี้ จากผลกระทบของการปฏิวัติรัฐประหาร และจากการเป็นรัฐบาลเผด็จการที่ประชาคมโลกไม่ยอมรับ แต่ถูกพลเอกประยุทธ์ ที่อาจจะไม่มีความรู้ในเรื่องทฤษฎีนี้ว่ามีอยู่จริง จึงได้ให้ คสช.ส่งคนมาฟ้องดำเนินคดีกับผม โดยผมต้องเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก. ปอท.) ในวันที่ 4 สิงหาคม 2560 พร้อมกับทนายความ คุณนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความ ที่กรุณาช่วยมาแก้ต่างในคดีนี้ให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่อย่างใด แม้ผมจะพยายามคะยั้นคะยอ อีกทั้งยังช่วยแก้ต่างให้ผมในอีกทุกคดีการเมืองจนรอดพ้น และต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

ในระหว่างการให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสัญญาบัตรที่เป็นผู้หญิงที่รับผิดชอบคดีและเป็นคนมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายตำรวจหญิงท่านนั้นได้อ่านข่าวที่ผมเขียนเตือนยังบอกเลยว่า โดยส่วนตัวแล้วเธอเห็นว่าไม่น่าจะผิดตรงไหนและทุกอย่างที่เขียนมีเหตุมีผล ถูกต้อง และตรงความจริงทั้งหมด ไม่รู้ว่า คสช.จะมาฟ้องผมทำไม แต่เธอก็ขอให้ผมอย่านำคำพูดของเธอไปให้ข่าว เพราะเธออาจจะเดือดร้อนได้ อีกทั้งยังขอถ่ายรูปกับผมไว้เป็นที่ระลึกด้วย ซึ่งผมก็ได้รับปาก แต่เนื่องจากเวลาผ่านมานานแล้ว เลยอยากเล่าไว้เพื่อให้บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ถึงความผิดเพี้ยนของประเทศไทยในช่วงเวลานั้น และนี่ก็เป็นครั้งแรกในชิวิตผมที่ต้องถูกพิมพ์ลายนิ้วมือกลายเป็นผู้ต้องหาเพียงเพราะเตือนประชาชนว่าประเทศกำลังจะแย่

หลังจากที่เตือนมาก่อนแล้ว 3 ปี และโดนคดีไปแล้ว ปัจจุบันคงไม่ต้องมาเถียงกันแล้วว่า ประเทศไทยอยู่ในสภาวะที่หนักยิ่งกว่ากบต้มเสียอีก ที่ผ่านมาการเจริญเติบโตของไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาก และขยายตัวต่ำที่สุดมาโดยตลอด การส่งออกก็ย่ำแย่ การลงทุนทั้งจากต่างประเทศและในประเทศก็หดหาย รายได้ของประชาชนลดกันถ้วนหน้า เศรษฐกิจไทยที่ยังพอขับเคลื่อนได้ก็มีเพียงแต่การท่องเที่ยวเท่านั้นที่พอจะขยายตัวได้ดี และประคองเศรษฐกิจไทยไปได้บ้าง

แต่พอมาเจอกับวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด สถานการณ์เศรษฐกิจเลยยิ่งทรุดหนัก การท่องเที่ยวที่เคยเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักได้ดับสนิท การส่งออก และการลงทุนยิ่งหดหาย ซ้ำเติมกับสภาวะเศรษฐกิจเดิมที่ย่ำแย่มาก่อนหลายปีแล้วตั้งแต่มีรัฐประหาร การขยายตัวเศรษฐกิจที่อาจจะติดลบถึง -10.4% ในปีนี้ จะทำให้เศรษฐกิจตลอด 6 ปีมี่ผ่านมาแทบไม่ขยายตัวเลย การส่งออกที่อาจจะติดลบถึง -10% ทำให้การส่งออกตลอด 6 ปีที่ผ่านมานอกจากจะไม่ขยายตัวแล้วยังจะติดลบด้วย และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมคนถึงลำบากกันอย่างมากในช่วงนี้

เศรษฐกิจที่ทรุดหนักเปรียบเสมือนการเร่งไฟในหม้อกบต้มให้เดือดเร็วยิ่งขึ้น กบเริ่มถูกต้มตายกันเป็นเบือ บริษัท ห้างร้าน และโรงงานต่างๆ ทยอยปิดตัวกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนงานตกงานกันเป็นล้านคน ข่าวคราวของการฆ่าตัวตายเห็นกันจนเป็นเรื่องปกติในหน้าหนังสือพิมพ์ และในเว็บข่าว สถิติการฆ่าตัวตายของไทยเพิ่มขึ้นถึง 22% และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ธนาคารโลกและสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจในไทยหลายแห่งฟันธงตรงกันว่าอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปีกว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้น ซึ่งถึงฟื้นก็ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมที่ก็ยังคงแย่อยู่แล้ว และหากพลเอกประยุทธ์ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือเหลืออยู่แล้ว ยังคงบริหารประเทศต่อ เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่ฟื้นเลยก็เป็นได้

ดังนั้นเมื่อ นักเรียน นักศึกษา และ ประชาชน ได้รับรู้ความจริงตามที่ผมได้เคยเตือนไว้ก่อนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และเหตุการณ์เริ่มเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ การออกมาชุมนุมกันเป็นจำนวนมากก็เปรียบเสมือนความพยายามของกบที่จะกระโดดออกจากหม้อต้มน้ำเดือด เพื่อรักษาชีวิตไว้ เพราะหากยังคิดว่ายังปรับตัวได้ กบก็คงถูกต้มตายกันหมดเป็นแน่ ซึ่งมีบทเรียนจากประเทศพม่าในอดีตที่เผด็จการปกครองอยู่นานแล้วประเทศก็ไม่ได้พัฒนาไปไหนเลย ประชาชนลำบากกันอย่างแสนสาหัสจนประเทศพม่าเองต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ และถึงกับเปลี่ยนชื่อเป็น ประเทศเมียนมา ในปัจจุบัน

ในขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ คดีกบต้มของผมยังไม่ได้มีการยกฟ้อง คดียังค้างอยู่กับ บก. ปอท. แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพยายามบอกว่าจะไม่ฟ้อง แต่ก็ยังไม่สรุปเรื่องดังกล่าว ล่าสุดคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กรุณาเข้าให้ปากคำในฐานะพยานฝ่ายจำเลย ซึ่งท่านก็อธิบายทฤษฎีนี้ได้อย่างชัดเจน จนตำรวจคงดำเนินคดีต่อไปได้ยากมาก แต่ที่ยังไม่ยกฟ้อง ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าจะเป็นข่าวใหญ่ ประชาชนจะยิ่งรู้สึกถึงภาวะกบต้มในปัจจุบันกันอย่างถ้วนหน้า พลเอกประยุทธ์ก็จะยิ่งเสื่อมเสียหนักขึ้นไปอีก

การที่ประเทศจะพัฒนาได้ ผู้นำของประเทศจะต้องเก่งพอประมาณและต้องมีความรอบรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องรู้ว่าประเทศที่บริหารอยู่มีสถานะอย่างไร หากประเทศกำลังย่ำแย่เหมือนอยู่ในสภาวะกบต้ม แต่พยายามโกหกตัวเอง และโกหกประชาชนว่ายังดีอยู่ สุดท้ายความจริงก็คงหนีความจริงไปไม่พ้น ประชาชนจำนวนมากจึงต้องออกมาขับไล่ แต่แทนที่จะรับฟังและแก้ไขพลเอกประยุทธ์กลับสั่งให้มีการสลายการชุมนุมของกลุ่มประชาชนจำนวนมากที่มีทั้งนักเรียนและนักศึกษา ซึ่งผิดวิสัยผู้นำที่มีจริยธรรมที่รู้สึกชั่วดี

ดังนั้น ผมจึงขอเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ลาออก เพื่อยุติความขัดแย้งที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น และอยากขอเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทยได้ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล หากไม่อยากให้ประชาชนต้องจดจำว่าเป็นพรรคการเมืองที่ร่วมกันในการทำร้ายประชาชน และจะช่วยทำให้หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้ แล้วค่อยมาช่วยกันตั้งหลักใหม่ว่าประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร หลังจากที่ไม่มีพลเอกประยุทธ์เป็นผู้นำแล้ว

พิชัย นริพทะพันธุ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image