ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ที่เห็นและเป็นไป : เหตุสู่‘ทางตัน’และ‘แสง’สุดอุโมงค์
ช่วงนี้โอกาสอำนวยให้ได้เสวนากับคนที่ยืนอยู่ในฝ่ายรัฐบาลบ่อย เรื่องที่หยิบขึ้นมาคุยกันส่วนใหญ่อยู่ในกรอบว่า “มันเกิดอะไรขึ้น” และ “จะให้ทำอย่างไร”
แน่นอนว่าน้ำหนักของความเชื่อยังอยู่ที่ “รัฐบาลภายใต้การนำของผู้มีอำนาจกลุ่มนี้ยังไปได้”
หนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี เพราะจนถึงขณะนี้ยังมองไม่เห็นว่าด้วยกฎกติกาที่เป็นเช่นนี้ จะมีใครมาแทนแล้วได้รับการยอมรับมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
คนที่อยู่ในรายชื่อพรรคการเมืองเสนอตัวอย่างเป็นทางการในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
“สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-ชัยเกษม นิติสิริ-ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” จะเข้ามาอ้างปรับ ครม.เป็น “รัฐบาลแห่งชาติ” หรืออย่างน้อยเอา “เพื่อไทย” มาร่วมรัฐบาล ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะการหาข้ออ้างกับประชาชนที่เป็นฐานเสียงนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากของทุกฝ่าย
กลุ่มที่จะรับไม่ได้มากที่สุดคือ “มวลชนที่ถูกปลูกฝังให้รังเกียจนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน” ที่จะเป็นได้กับทุกสิ่งที่เชื่อมโยง ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกลุ่มนี้เป็นฐานกำลังหลักของผู้ปกปักภักดีกับ “กลุ่มที่มีอำนาจในปัจจุบัน” การดึงพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมรัฐบาล จิตใจที่พร้อมจะกำจัดคนที่เห็นต่างแม้จะเป็นเยาวชนรุ่นลูกรุ่นหลาน
ย่อมยากจะรับได้
ทางฝ่ายที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่ส่วนใหญ่มีจิตสำนึกไปในทางต่อต้านเผด็จการ มีประสบการณ์อันเลวร้ายจากการกระทำของอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน หากพรรคเพื่อไทยตัดสินใจอำนาจในแบบนั้น การหาเหตุผลมาอธิบายให้เชื่อว่าไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวจนทอดทิ้งประชาชนที่ให้การสนับสนุน แทบจะไม่เห็นทาง
เมื่อปิดทาง “รัฐบาลแห่งชาติ” เสียแล้ว
คนที่ได้เปรียบสุด ตามกติกาที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ให้อำนาจของ “นักการเมืองจากการแต่งตั้ง” อยู่เหนือกว่า “นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” เช่นนี้
ใครต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคงเป็นไปได้ยาก
อาจจะวุ่นวายไม่รู้หยุดหย่อน และร้อนแรงขึ้นทุกที จาก “เยาวชนคนรุ่นใหม่” ที่ออกมาชุมนุมต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ และยังหาวิธีการควบคุมไม่ได้
แต่หากว่า ทำใจให้ปล่อยวาง ไม่สนใจว่าประเทศชาติจะเสียหายยับเยินต่อไปอย่างไร มุ่งที่จะรักษาอำนาจไว้ โดยโยนการก่อความยุ่งยากให้ประเทศชาติเสียหายไปให้ผู้ชุมนุม และพยายามสร้างนิทานคนที่อยู่เบื้องหลังขึ้นมาเพื่อให้เป็นจำเลย โดยโหมกระพือให้เกิดความเชื่อ หรืออย่างน้อยกล่อมประสาทพวกตัวเองให้เชื่อ
กติกาโครงสร้างอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ากำแพงเหล็ก จะทำให้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ ได้ โดยไม่มีใครทำอะไรได้
ความน่าสนใจมาถึงคำถามว่า “แล้วจะแก้กันอย่างไร”
น่าสนใจเพราะการตอบคำถามนี้ โยงกลับไปสู่ข้อสรุปที่ว่า “ต้องตอบก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
และเนื้อหาที่นำเสนอกันออกมาคือ “ผู้มีอำนาจไม่เป็นเจ้าของเกม”
“เกมที่ถูกนำมาเล่นบนถนน ถูกเขียนและกำหนดกติกาการเล่นโดยฝ่ายตรงกันข้าม” ทำให้ผู้มีอำนาจต้องเล่นตามเกมของคู่ต่อสู้ แม้จะพยายามหยิบกติกาที่มีอยู่ หรือเขียนขึ้นมาใหม่แทรกไปในเกมนั้น แต่เป็นแค่กติกาที่เล่นตาม
ไม่ใช่กติกาหลักที่ใช้นำเกม
ในวงสนทนามีการชี้ให้เห็นว่าเป็น “ความผิดพลาดของผู้มีอำนาจเองที่ให้ขับไล่ส่งคู่ต่อสู้ให้ออกมาเล่นนอกเวที หรือสนาม”
เวทีหรือสนามที่ผู้มีอำนาจมีกติกาที่ได้เปรียบมากมายมาบังคับใช้ได้อยู่แล้ว
นักการเมืองที่ต้องออกจากเวทีสภาเพราะพรรคถูกยุบ และถูกตัดสิทธิทางการเมือง
นักเรียน นักศึกษาที่ถูกอำนาจในโรงเรียนและในสถาบันปิดกั้นไม่ให้แสดงออกทางความคิด เพราะผู้มีอำนาจในโรงเรียนในสถาบันเกรงกลัวความผิด
เหล่านี้คือต้นเหตุใหญ่ทำให้เวทีที่ได้เปรียบในกติกา ถูกเปลี่ยนมาเป็นท้องถนนที่กติกาถูกเขียนด้วยฝ่ายตรงกันข้าม กำหนดให้เล่นในกติกาที่การไม่ยอมรับคือการปราบปรามที่ถูกประณามจากทั่วโลก
“จะแก้อย่างไร”
หนทางที่ดีที่สุดของผู้มีอำนาจคือหาทางให้กลับไปเล่นในเวทีที่ “เป็นผู้กำหนดกติกาได้”
ให้ “ครูบาอาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษาทุุกระดับ เปิดเวทีรับฟังปัญหาของเยาวชนอย่างจริงจัง ไม่จัดฉากจัดกลุ่มแนวร่วม ต้องรู้ว่าฟังจากใครแล้วแก้ หยุดเรื่องราวการต่อสู้ไว้ในรั้วโรงเรียน รั้วสถาบันการศึกษาได้”
หาทางให้รัฐสภาเป็นเวทีของคนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แต่หนทางนี้จะสายเกินไป เพราะใช้อำนาจขององค์กรอิสระให้เกิดประโยชน์กับตัวเองจนเกินจะย้อนกลับหรือไม่
ย่อมเป็นเรื่องของ “ผลแห่งกรรม”
อย่างไรก็ตาม หากกลับไปเริ่มที่ความคิด “ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้”
กติกาที่เขียนขึ้นมาให้เป็นตัวช่วยทรงประสิทธิภาพมากมายขนาดนั้น
ไปดูให้ดีๆ อาจจะมีช่องให้ “ย้อนเวลาไปจัดการเปลี่ยนแปลงอดีต เพื่อแก้กรรมที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันได้”
แวดวงสนทนาในหลายวันที่ผ่านมา สรุปเหมือนกันว่า
“ไม่ลองก็ไม่รู้ ไม่ดูก็ไม่เห็น เสียหน้าบ้างเพื่อหาทางออกให้ประเทศย่อมดีกว่า” (ฮา)