ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
สัปดาห์นี้ “ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ” จะกลับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
หากติดตามการเมืองมาต่อเนื่องจะพบว่าต้นเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองจนเกิดความหวาดวิตกไปทั่วว่าจะเกิดความรุนแรงจนนำไปสู่ความสูญเสียอันน่าเศร้า ก็คือ “รัฐธรรมนูญ 2560” ฉบับนี้
ในความคิดของ “เยาวชนคนรุ่นใหม่” รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความน่ารังเกียจอย่างยิ่ง
เริ่มจากเขียนขึ้นมาด้วยความคิดว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความไม่พร้อม หรือจะพูดให้ตรงๆ คือ “โง่” จนต้องจำกัดการให้มีสิทธิในอำนาจที่เท่าเทียมตามหลักการประชาธิปไตยสากล ต้องให้คนกลุ่มหนึ่งที่สถาปนาตัวเองเป็น “คนดี” มีอำนาจมากกว่า
แล้วร่างขึ้นมาให้มีการลดบทบาทพรรคการเมือง และนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง โดยซ่อนเร้นเจตนาไว้ในบทบัญญัติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “บัตรเลือกตั้งใบเดียว เลือกทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ” ทำให้พรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.เขตมากถูกตัดสิทธิไม่ให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำให้ไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งชนะเลือกตั้งแบบเด็ดขาด เพื่อเปิดทางให้มาช่วงชิงการรวบรวม ส.ส.เพื่อแข่งกันตั้งรัฐบาลผสม
โดยมี “ส.ว.” ที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด เป็น “ตัวล็อก” ให้พรรคการเมืองที่ต้องการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หมดสิทธิเลือกที่จะผสมกับพรรคอื่น เพราะคนที่มีโอกาสเป็น “นายกรัฐมนตรี” นั้น ถูกล็อกไว้ที่ “คนแต่งตั้ง ส.ว.” เท่านั้น
เป็นกฎหมายสูงสุดที่เปิดประตูชนะให้ผู้ที่ต้องการสืบทอดอำนาจแบบถ่างกว้าง ขณะที่พรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งมีแต่ประตูพ่ายแพ้เท่านั้นที่เดินได้
ตามด้วยองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่จัดการให้เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความติดขัดของการขึ้นสู่อำนาจ พร้อมกับอำนวยให้เกิดความมั่นคง ยั่งยืนในการอยู่ในอำนาจอย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถไล่ล้างทุกสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อเสถียรภาพได้อย่างไม่ต้องกังวล
เสถียรภาพที่แข็งแกร่งนั้นเป็นเรื่องดี หากรัฐบาลใช้เพื่อสร้างผลงานให้เป็นประโยชน์กับประชาชนอยู่ดีมีสุข และประเทศชาติพัฒนาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้
แต่ในทางกลับกัน “เสถียรภาพ” จะเป็นโทษมหันต์หากเป็นเครื่องมือรักษารัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ พิสูจน์แล้วว่าไม่มีความรู้ความสามารถในการบริหาร ทำให้ประเทศเกิดความเลวร้ายในทุกๆ ด้าน
ประเทศที่ถูกนำพาดำดิ่งสู่อนาคตที่ไร้ความหวัง แต่ถูกล็อกความเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงด้วย “เสถียรภาพอันมั่นคงของรัฐบาล” โดยรัฐธรรมนูญ
“เยาวชนคนรุ่นใหม่” ที่ต้องการสร้างความหวังให้กับอนาคตของพวกเขาจึงออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลง
ซึ่งแน่นอนต้องเริ่มตรง “รัฐธรรมนูญ” ที่พวกเขาเชื่อว่า “ไม่เป็นธรรมนั้น”
แต่ก็นั่นแหละ เมื่อการเมืองของ “นักการเมือง” ไม่ว่าจะมาจาก “การแต่งตั้ง” หรือ “เลือกตั้ง” หัวใจอยู่ที่การช่วงชิงอำนาจ ฝ่ายที่ได้ประโยชน์จาก “รัฐธรรมนูญ” ย่อมต้องดิ้นรนสุดฤทธิ์ที่จะรักษารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไว้ เพื่อความได้เปรียบดังกล่าว
รัฐธรรมนูญที่แก้ไขได้ยากเย็น และกลไกรัฐสภาถูกออกแบบไว้ให้อยู่ในอำนาจควบคุมของฝ่ายที่ได้เปรียบ
การใช้พลังมวลชนเพื่อกดดันนอกรัฐสภาจึงเกิดขึ้น
และเสียงเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนถูกปฏิเสธ การกดดันจึงกระจายไปสู่สิ่งอื่นที่เห็นว่าเป็นเงื่อนไขให้เป็นข้ออ้างใช้อำนาจขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ด้วยดังกล่าว หากถามว่า “ความวุ่นวายทางการเมืองคล้ายจะไร้ทางออกนี้ จะแก้ไขอย่างไร”
คำตอบที่ดีที่สุดคือ “กลับมาที่ต้นเหตุ” คือ “รัฐธรรมนูญ”
การแก้ไขให้กลับมาเป็น “รัฐธรรมนูญที่เป็นธรรม” ยืนอยู่ในหลักการ “เคารพสิทธิที่เท่าเทียมกันของทุกคน” เท่านั้น จึงจะเป็นทางออกที่ดีและง่ายที่สุด
ดังนั้น การประชุมสภาในสัปดาห์นี้ ต้องเริ่มจาก “นักการเมือง” ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องเชื่อก่อนว่า “เยาวชนรุ่นใหม่ไม่ได้โง่”
ต้องเชื่อว่า “เด็กๆ” ตามทันความคิดอันฉ้อฉลที่จะหาเหตุผลข้ออ้างมาบิดพลิ้วเจตนารมณ์ที่ควรจะเป็นของรัฐธรรมนูญ
อย่าทำให้ “ลูกๆ หลานๆ” ต้องอยู่ร่วมกับ “ลุงป้า น้าอา ปู่ย่า ตายาย” ด้วยความรู้สึกสลดหดหู่กับการมองไม่เห็นอนาคต เพราะความเห็นแก่ตัวที่จะต้องอยู่ด้วย “ความได้เปรียบจากกติกาที่ไม่เป็นธรรม” เลย
การประชุมในวาระนี้ จะพิสูจน์ว่า “รัฐสภา” เป็นที่พึ่งช่วยคลี่คลายความขัดแย้ง หรือยิ่งใส่ฟืนโหมไฟให้อยู่ร่วมกันไม่ได้